ประเทศไทยกำลังเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 หรือในอีก 3 ปีข้างหน้า แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศความตื่นตัวในสังคมไทยเกี่ยวกับ AEC ยังมีอยู่น้อยมาก การพยายามทำความเข้าใจถึงผลกระทบของ AEC และการเตรียมความพร้อมรับมือกับการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ AEC ยังจำกัดอยู่เฉพาะผู้ประกอบการเพียงบางกลุ่ม

     เมื่อวันที่ 5 มีนาคมที่ผ่านมา ผมได้รับเชิญไปร่วมเสวนาในงาน ? การสร้างองค์กรแห่งความสุขHappy Workplace ในยุค 3.0? ซึ่งจัดโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ผมได้แสดงความเห็นเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของไทยในการเข้าเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในภาพกว้างในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งผมจะขอแบ่งปันความเห็นของผมที่ได้นำเสนอในงานดังกล่าว โดยแบ่งออกเป็น 2 ตอน โดยในบทความตอนแรกนี้เป็นเรื่องจุดอ่อนและจุดแข็งของไทยในการเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ AEC

การสร้างแบรนด์ให้กับประเทศไม่ใช่เรื่องใหม่ แนวคิดเรื่องการสร้างแบรนด์ให้ประเทศ (??Nation as a brand??) เกิดขึ้นประมาณปี ค.ศ.2000 ซึ่งการที่โลกมีความเป็นโลกาภิวัตน์มากขึ้นในทุกด้านทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองและสังคม และยังมีแนวโน้มจะเป็นโลกาภิวัตน์มากขึ้น
 
อย่างต่อเนื่อง (ดังเห็นได้จากรายงาน KOF Index of Globalization ปี 2010 ซึ่งรวบรวมข้อมูล 208 ประเทศ ตั้งแต่ปี 1970 ? 2007 พบว่า โลกมีความเป็นโลกาภิวัตน์มากขึ้น) ปัจจัยนี้มีส่วนทำให้ปัจจุบันหลายประเทศในโลกหันมาให้ความสำคัญกับเรื่องการสร้างแบรนมากขึ้น
 
 
ที่มาของภาพ     http://aberriberri.files.wordpress.com/2010/02/nation_branding.jpg?w=500
     การวัดความก้าวหน้าของการพัฒนาของประเทศ โดยใช้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ GDP เป็นประเด็นที่ได้รับการถกเถียงมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในประเด็นที่ความเจริญทางเศรษฐกิจไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงของการพัฒนาประเทศ รวมทั้งมีข้อเสนอให้มีการวัดความสุขมวลรวมประชาชาติ (Gross National Happiness) แทนการวัด GDP ซึ่งรัฐบาลของบางประเทศได้มีการจัดตั้งโครงการศึกษา ?ความสุขมวลรวมประชาชาติ? (Gross National Happiness) เช่น สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เป็นต้น
 
 

     การแก้ปัญหาหนี้ของกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินมีความชัดเจนมากขึ้น นับตั้งแต่รัฐบาลออกพระราชกำหนดปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้ที่กระทรวงการคลังกู้เพื่อช่วยเหลือกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน เพื่อโอนหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ 1.14 ล้านล้านบาทให้ ธปท.รับผิดชอบทั้งหมด โดยกฎหมายเปิดช่องให้ ธปท.เรียกเก็บเงินจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อนำมาชำระหนี้กองทุนฟื้นฟูฯได้



ที่มาของภาพ http://www.oecd-antispam.org/wp-content/uploads/2012/01/debt-consoldiation-loans.jpg

    
ที่มาของภาพ http://1.bp.blogspot.com/-I0m_U_o1wCs/Td_Nl9socpI/AAAAAAAAAWY/LAz0Y2f-BiQ/s1600/money-to-burn.jpg

บทความในสัปดาห์ที่แล้วผมได้วิเคราะห์ถึงปัญหาในการรับมือกับภัยพิบัติของไทย ครั้งนี้ผมอยากเสนอความคิดเห็นของผมในการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติที่อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยในอนาคต

ที่มา http://www.globalwarmingandu.com/images/World-Worst-Natural-Disaster.jpg

ผมได้นำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาในเรื่องนี้ไว้หลายประการ เช่น
 
กำหนดเป้าหมายในการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ
 

เมื่อช่วงต้นเดือนม.ค.ที่ผ่านมาผมได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรในเวทีสัมมนาเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม หัวข้อ Save Our Planet อากาศ น้ำ ดิน: ช่วยประเทศไทย จากการเปลี่ยนแปลงของ สภาพอากาศ ในหัวข้อ ?นโยบายของรัฐบาล ในการจัดการภัยพิบัติทางธรรมชาติ" ที่งาน ?บีโอไอแฟร์ 2011? ซึ่งมีตัวแทนทั้งจากภาครัฐ ภาคเอกชนและนักวิชาการมาแสดงความคิดเห็นในเวทีนี้อย่างมากมาย

ที่มา http://naturaldisasterss.com/wp-content/uploads/2011/12/Natural-Disaster-Floods.jpg