ไม่มีใครยากจนเกินกว่าจะเป็น ?ผู้ให้?

...บิล เกตส์ มหาเศรษฐี เจ้าของบริษัทซอฟแวร์ชื่อดังของโลก ldquo;ไมโครซอฟท์rdquo; ได้จัดตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยเหลือสังคม ผู้ยากไร้ และผู้ด้อยโอกาสทั่วโลก โดยบริจาคเงินไปแล้วกว่า 9.25 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.4แสนล้านบาท

...
ลีกาซิง มหาเศรษฐีชาวจีนผู้ร่ำรวยติดอันดับโลก ได้จัดตั้งมูลนิธิเพื่อสนับสนุนด้านการแพทย์ การศึกษา วัฒนธรรม และโครงการสวัสดิการสังคมต่าง ๆ โดยการวางแผนขายหุ้นเพื่อนำเงินมาดำเนินการเป็นจำนวนเงินกว่า 1.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

hellip;
ยอห์น ร็อกกี้เฟลเลอร์ มหาเศรษฐีน้ำมันโลกผู้ล่วงลับไปแล้วได้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อช่วยวิจัยหาวัคซีนป้องกันโรคต่าง ๆ และพัฒนาด้านการเกษตร โดยมีสินทรัพย์ในกองทุนกว่า 3.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ

นับเป็นธรรมเนียมที่นิยมปฏิบัติกันมานานตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน สำหรับการบริจาคเงินหรือสนับสนุนงานการกุศล การตั้งมูลนิธิต่าง ๆ ในการตอบแทนสังคมหลังจากที่ได้ประกอบธุรกิจจนร่ำรวยมีฐานะการเงินที่มั่งคั่งและมั่นคง ของบรรดานักธุรกิจและมหาเศรษฐีชั้นนำทั่วโลก
มนุษย์เงินเดือนคนทำมาหากินทั่วไปอาจคิดว่า หากเรามีทรัพย์สินเงินทองร่ำรวยเทียบได้กับมหาเศรษฐีเหล่านั้น เราย่อมจะบริจาคเงินช่วยเหลือสังคมด้วยเช่นกัน แต่ในขณะนี้เรายังเป็นเพียงแค่
ผมคิดว่าหากคนส่วนใหญ่ในสังคมมีความคิดเช่นนี้ ย่อมจะเป็นอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อการพัฒนาประเทศชาติในระยะยาวเนื่องจากการมีมุมมองความคิดที่ผิดเพี้ยนไปในเรื่องของ ldquo;การให้rdquo; และการช่วยเหลือผู้อื่นที่ด้อยโอกาสกว่าตน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเข้าใจผิดโดยมองว่าผู้ที่มีบทบาทหน้าที่ในการช่วยเหลือคนด้อยโอกาสในสังคมคือ ldquo;หน่วยงานภาครัฐrdquo; เท่านั้น เนื่องจากคิดว่าเราได้มอบหมายสิทธิในการดูแลบริหารประเทศชาติและสังคมรวมทั้งเสียภาษีให้แก่ภาครัฐไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงแล้วหน่วยงานภาครัฐต่าง ๆ เหล่านั้นไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้เพียงลำพังผู้เดียว เนื่องจากความจำกัดในหลายประการ ดังเช่น การงบประมาณที่มีจำกัด บุคลากรที่ไม่เพียงพอ ระบบการทำงานที่ล่าช้าและการไม่รู้ถึงสภาพปัญหาที่แท้จริงในพื้นที่ เป็นต้น ในขณะที่ผู้ต้องการความช่วยเหลือนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก เกินกำลังที่หน่วยงานดังกล่าวจะเข้าไปช่วยเหลือได้อย่างทั่วถึง และทันท่วงที

แท้จริงแล้วไม่ว่าเราจะอยู่ในบทบาทหรือฐานะใดในสังคม ทั้งข้าราชการ คนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ไม่ว่าจะมีรายได้สูงหรือต่ำก็ตาม เราต่างมีศักยภาพเพียงพอที่จะเป็น ldquo;ผู้ให้rdquo; และสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ทั้งสิ้นดังข้อความที่ผมเคยพูดเสมอว่า ldquo;ไม่มีใครเลยที่ไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้ และไม่มีใครเลยที่จะไม่สามารถเป็นผู้ที่ให้ออกไปได้rdquo; เราทุกคนล้วนแล้วแต่มีความสามารถที่จะเริ่มในการเป็น ldquo;ผู้ให้rdquo; หรือ ldquo;ผู้เสียสละrdquo; ช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสในสังคมได้ทั้งสิ้น โดยเริ่มจาก ldquo;การทำลายความคิดที่ผิดเกี่ยวกับการให้rdquo;

เราพบว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้เราไม่สามารถเป็น ldquo;ผู้ให้rdquo; และ ldquo;เสียสละrdquo; ออกไปในการช่วยเหลือผู้อื่นได้นั้นไม่ใช่เพราะความ ldquo;ไม่สามารถrdquo; ldquo;ไม่มีrdquo; ldquo;ไม่เพียงพอrdquo; ของเราแต่เนื่องจากความเข้าใจที่ผิดและการมีldquo;ความคิดrdquo;หรือ ldquo;ค่านิยมrdquo;บางประการที่ไม่ถูกต้อง อาทิ

ความคิดที่เป็น ldquo;ปัจเจกชนนิยมrdquo; (individualism) แม้ความคิดเชิงปัจเจกนิยมจะมีสิ่งที่ดีหลายประการ แต่หากเราคิดอย่างไม่สมดุลจะก่อให้เกิดสภาพของการที่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างมุ่งแสวงหาสิ่งที่ตนพึงพอใจโดยไม่สนใจว่าผู้อื่นจะเป็นเช่นไร ซึ่งความคิดปัจเจกชนนิยมนี้เองเป็นบ่อเกิดของความ ldquo;เห็นแก่ตัวrdquo; ที่เกิดขึ้นในสังคม

ความคิดว่า ldquo;ตนเองจำกัดrdquo; ขาดศักยภาพ ขาดความสามารถที่จะช่วยเหลือผู้อื่นได้ คิดว่าปัญหาของตนเองยังมีอยู่ ดังนั้นจึงต้องรอให้ตนเองพร้อมเสียก่อนทั้งในด้านทรัพย์สินเงินทอง ความสามารถ ฯลฯจึงจะสามารถไปช่วยเหลือผู้อื่นได้ แต่ในชีวิตจริงแล้วคนส่วนใหญ่พบว่า ไม่มีผู้ใดที่อยู่ในสภาพที่พร้อมในทุกสิ่ง ดังนั้นจึงทำให้ ldquo;ความจำกัดrdquo; ไม่เคยสูญสิ้นไปจากชีวิต อันเป็นเหตุให้ไม่ตั้งเวลาและริเริ่มที่จะช่วยเหลือผู้อื่น

ความไม่รู้ว่า ldquo;จะช่วยอย่างไรrdquo; รู้สึกว่าตนเองหัวเดียวกระเทียมลีบทั้ง ๆ ที่มีความปรารถนาอยากจะช่วยแต่ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร จะเริ่มอย่างไรดี จะช่วยใคร โดยวิธีใด เนื่องจากขาดผู้นำ ผู้ริเริ่ม หรือกลุ่มแนวร่วมในการดำเนินการ

ความคิดตามค่านิยมที่ว่า ldquo;ทำดีอาจเป็นภัยrdquo; หรือทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย อาจเป็นเหตุให้ไม่อยากที่จะทำดีมากเพราะถ้าทำดีจนโดดเด่นขึ้นมาแล้วอาจนำความยุ่งยากหรือนำความเดือดร้อนต่าง ๆ มาสู่ตน หรือในกรณีการช่วยเหลือเด็กกำพร้า อาจจะมีค่านิยมที่ผิดว่า ldquo;เอาลูกเขามาเลี้ยงเอาเมี่ยงเขามาอมrdquo; อันทำให้คนไม่กล้าที่จะรับอุปการะเด็กที่ถูกทอดทิ้งเพราะกลัวว่าจะกลับมาเป็นภัยต่อตนเองภายหลัง

ความรู้สึก ldquo;อคติrdquo; คิดว่าการช่วยเหลือนั้นเป็นการ ldquo;ถูกบังคับrdquo; รู้สึกว่า ldquo;เป็นหน้าที่rdquo; ที่ต้องทำเป็น rdquo;การเสแสร้งrdquo; ให้ได้มาซึ่งคำชมเชย ความนับหน้าถือตาโดยไม่ได้ช่วยมาจากใจจริง ดังนั้นจึงไม่ปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น
ผมเชื่อมั่นว่า หากเราต้องการประสบกับความสำเร็จในชีวิตอย่างมีคุณค่า เราคงต้องเรียนรู้การ ldquo;ให้rdquo; ที่มิใช่เป็นครั้งเป็นคราว แต่ควรเป็น ลักษณะนิสัย และ ความเคยชิน ในการให้สิ่งที่ดีแก่ผู้อื่น ที่สำคัญ การเสียสละเพื่อเห็นแก่ส่วนรวมนั้น มิใช่จะทำให้เราเสียประโยชน์ แต่แท้จริงแล้วจะเป็นการสร้างกำไร ทั้งต่อตนเอง ธุรกิจ และสังคมในอนาคต เพราะเมื่อสังคมอยู่ได้ เราจึงสามารถอยู่ได้เช่นกัน

ผมเองได้ดำเนินโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคมโครงการหนึ่งชื่อว่า ldquo;โครงการกองทุนเวลาrdquo; เพื่อเป็นช่องทางให้คนที่มีความรู้ความสามารถหรือคนที่มีโอกาสมากกว่าในสังคม ได้มีส่วนช่วยเหลือคนด้อยโอกาสหรือมีส่วนช่วยเหลือกิจกรรมสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ตามความถนัดและความสนใจ ด้วยแนวคิดที่ว่าทุกคนมีเวลาว่างในชีวิตประจำวันอยู่จำนวนหนึ่ง หากปันเวลาเหล่านั้นมาช่วยเหลือสังคม ย่อมเป็นพลังที่มีคุณค่ามหาศาล ในการรื้อฟื้นสังคมส่วนที่อ่อนแอให้กลับเข้มแข็งขึ้นมาได้ โครงการกองทุนเวลาเพื่อสังคมนี้จึงจัดตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ประสานความร่วมมือระหว่างองค์กรการกุศลที่ต้องการอาสาสมัครเพื่อช่วยงาน และอาสาสมัครที่สามารถจัดสรรเวลาทำกิจกรรมเพื่อสังคม ซึ่งหากท่านผู้อ่านสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการนี้สามารถเข้าไปดูในรายละเอียดได้ที่ www.timebank.in.th ครับ

admin
เผยแพร่: 
งานอัพเกรด
เมื่อ: 
2007-11-01