"การเมือง" เรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม

เมื่อเอ่ยถึง "การเมือง" หลายคนแสดงออกถึงอาการเบื่อหน่าย ไม่น่าสนใจ ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว เนื่องจากเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัวและมีทัศนคติมุมมองในเชิงลบต่อการเมืองไทยที่เต็มไปด้วยการทุจริตโกงกิน การกอบโกยผลประโยชน์ การแย่งชิงอำนาจและตำแหน่ง การซื้อเสียง การเล่นพรรคเล่นพวก การใช้อำนาจโดยมิชอบ ฯลฯ มุมมองดังกล่าวจึงส่งผลให้คนจำนวนมากขาดการมีส่วนร่วมทางการเมืองไปอย่างน่าเสียดาย ดังเห็นได้จากสถิติของจำนวนผู้ที่ออกมาลงคะแนนเสียงในการเลือกตั้งครั้งต่าง ๆ ทั้งในระดับประเทศและระดับท้องถิ่นมีเปอร์เซ็นต์ของการนอนหลับทับสิทธิ์ที่สูงมากมาโดยตลอด

ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วผมอยากให้ความหมายของการเมืองว่าเป็น "เรื่องของการปฏิสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างสมาชิกในกลุ่มในการต่อรองแบ่งปันผลประโยชน์ในเรื่องต่าง ๆ ให้แก่สมาชิกที่เกี่ยวข้องในกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในครอบครัว สมาชิกในองค์กร สมาชิกในชุมชน สมาชิกในระดับประเทศ จนถึงสมาชิกในระดับโลก" ในเมื่อการเมืองเป็นเรื่องของระบบการจัดสรรผลประโยชน์เช่นนี้แล้ว การเมืองจึงเป็นเรื่องที่ไม่ได้ห่างไกลไปจากตัวเราเลย ทั้งยังส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของเราเป็นอย่างมากทั้งทางตรงและทางอ้อม อาทิ

...เงินภาษี ที่เราจ่ายให้กับรัฐ ซึ่งเมื่อรวมกับรายได้ของรัฐแล้วมีมากกว่าหนึ่งล้านล้านบาท

...นโยบายต่าง ๆ ที่ออกโดยภาครัฐ เช่น นโยบายด้านการสาธารณสุข การประกันสุขภาพ นโยบายเรื่องการปรับค่าจ้างแรงงาน นโยบายส่งเสริมและกระตุ้นภาคเศรษฐกิจ นโยบายด้านการศึกษาที่เกี่ยวข้องโดยตรงต่อบุตรหลานของเรา เป็นต้น

ดังนั้นหากเรายังรู้สึกว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ห่างไกลและไม่เกี่ยวข้องกับเราอีก จึงเป็นความคิดที่ผิดอย่างมหันต์ เพราะไม่เพียงแต่เงินภาษีที่ได้มาจากหยาดเหงื่อแรงงานน้ำพักน้ำแรงของเราอาจต้องถูกผลาญไปอย่างไม่สมเหตุสมผลแล้ว เราอาจได้รับผลกระทบจากการออกนโยบายหรือกฎหมายของนักการเมืองบางคนที่ต้องการรักษาหรือเอื้อประโยชน์ต่อตนเอง พวกพ้อง กลุ่มทุนที่สนับสนุน โดยไม่คำนึงว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติหรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลเสียหายตามมามากมาย

ในทางตรงกันข้ามหากเราเห็นว่าการเมืองเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวและเกี่ยวข้องกับเรามากจนสมควรแก่การที่เราจะเข้าไปศึกษาหรือทำความเข้าใจแล้ว การเมืองจะเป็นเรื่องที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ทั้งแก่ตัวเราเองและสังคมภาพรวมได้อย่างมาก โดยประโยชน์ในด้านต่าง ๆ นั้นได้แก่

การได้รับสิทธิและเสรีภาพในด้านต่าง ๆ ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายอย่างเต็มที่
เช่น สิทธิในการได้รับการคุ้มครองจากรัฐ สิทธิในการได้รับความยุติธรรมตามกระบวนการยุติธรรม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น เสรีภาพในการประกอบอาชีพอย่างสุจริต เสรีภาพในการรวมตัวเป็นกลุ่มทางการเมือง เป็นต้น

การต่อรองและเรียกร้องสิ่งที่ตนเองต้องการจากรัฐได้ตามขอบเขตที่กฎหมายกำหนด
โดยอาจเป็นการเรียกร้องโดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลผ่านองค์กรภาคประชาชนในการดูแลผลประโยชน์ของตนหรือส่วนรวม เช่น องค์กรอิสระที่เป็นตัวแทนผู้บริโภค องค์กรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร องค์กรปกป้องสิทธิมนุษยชน ฯลฯ

การสร้างความเสมอภาคในโอกาสแก่ทุกกลุ่มคนในสังคม
การเมืองที่เปิดกว้างอย่างแท้จริงย่อมช่วยให้คนทุกกลุ่มในสังคมมีโอกาสด้านต่าง ๆ ในชีวิตเยี่ยงคนปกติได้ ไม่ว่าจะเป็นคนพิการ คนกลุ่มน้อย คนยากจน ชนชั้นแรงงาน ฯลฯ โอกาสเหล่านี้แสดงออกในหลายลักษณะ อาทิ การได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะจากรัฐ ความเท่าเทียมกันในการรับสมัครเข้าทำงานในองค์กรต่าง ๆ โดยไม่ถูกกีดกันด้วยเหตุทางกายภาพหรือสถานะทางสังคม รวมทั้งสิทธิในการสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรได้ เป็นต้น

การได้รับโอกาสการพัฒนาตนเองอย่างเต็มศักยภาพ
การเมืองในประเทศที่ให้อำนาจกับประชาชนอย่างแท้จริงจะทำให้ประชาชนมีอำนาจในการต่อรองผลประโยชน์ของตนเองจากรัฐในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะโอกาสที่จะได้รับการพัฒนาตนเองผ่านการศึกษาอย่างเท่าเทียมกัน

การจัดการงานและกำหนดวิถีทางของท้องถิ่นตนเองได้
การปกครองโดยการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นย่อมเอื้ออำนวยให้ประชาชนในท้องถิ่นสามารถบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาของท้องถิ่นตนเองได้ เพราะประชาชนในท้องถิ่นสามารถจัดสรรทรัพยากรและงบประมาณของท้องถิ่นเพื่อปรับปรุงและพัฒนาท้องถิ่นได้ตรงและสอดคล้องกับความต้องการของตนเอง

การกระจายความเจริญแก่ทุกกลุ่มคนในสังคมอย่างเสมอภาคและยุติธรรม
ภายใต้สภาพการเมืองแบบกระจายอำนาจสู่ประชาชน อำนาจการต่อรองที่กระจายตัวอยู่ในทุกส่วนของประเทศย่อมส่งผลให้เกิดการกระจายทรัพยากรของชาติเพื่อสรรสร้างความเจริญแก่ประชาชนอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านสาธารณูปโภคต่าง ๆ เช่น การสร้างถนน ประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ หรือบริการของรัฐทางสาธารณสุข ทางการศึกษา

การช่วยให้ประเทศเกิดการพัฒนาไปในวิถีทางที่ถูกต้องและเหมาะสม
การเมืองในระบบการเลือกตั้งที่ประชาชนเลือกตัวแทนของตนเอง โดยประชาชนยินยอมมอบอำนาจที่ตนเองมีอยู่ให้กับตัวแทนของตนเข้าไปทำหน้าที่กำหนดทิศทางการบริหารประเทศ ซึ่งหากตัวแทนของประชาชนมีความตั้งใจที่จะเสียสละตนเองเข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศเพื่อสร้างสรรค์ความเจริญให้กับประเทศและความอยู่ดีกินดีของประชาชน ผ่านการจัดสรรทรัพยากรของชาติที่เหมาะสม ก็ย่อมส่งผลให้เกิดย่างก้าวของการพัฒนาประเทศไปในทางที่ถูกต้อง นำมาซึ่งประโยชน์สุขแก่ประชาชนในประเทศ

การช่วยให้สังคมและประเทศมีความสงบสุข
ระบอบการเมืองที่สร้างให้เกิดความเจริญก้าวหน้าและการอยู่กินดีแก่ประชาชนในประเทศอย่างทั่วถึงและเป็นธรรมย่อมเอื้อต่อการดำรงอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขของประชาชนในประเทศ ตรงกันข้ามหากการเมืองสร้างให้เกิดการพัฒนาที่เหลื่อมล้ำระหว่างประโยชน์ของประชาชนในแต่ละกลุ่มก็ย่อมส่งผลให้กลุ่มที่เสียประโยชน์ไม่พอใจ เกิดการรวมตัวกันต่อรอง ต่อต้าน สร้างความขัดแย้งให้เกิดขึ้นในประเทศและนำมาซึ่งความสับสนวุ่นวายในสังคมได้

การเห็นคุณค่าและความสำคัญของการเมือง ไม่เพียงแค่การมีส่วนร่วมในการไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งเท่านั้นแต่สามารถแสดงออกได้ในหลายทาง อาทิ ช่วยหาเสียงหรือบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมืองที่ตนชื่นชอบ...การรวมตัวจากกลุ่มคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันเป็นพรรคการเมืองที่เข้ามาดำเนินกิจกรรมทางการเมือง...มีส่วนร่วมในการแจ้งเบาะแสการคอรัปชั่นในแวดวงต่างๆ...ติดตามการทำงานของนักการเมืองที่เราเลือกตั้งไปเป็นผู้แทนฯในสภา ฯลฯ และล่าสุดโดยการรับรู้และติดตามความก้าวหน้าในการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 ของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ซึ่งอยู่ในระหว่างการแปรญัตติเพื่อรอทำประชามติจากประชาชนทั้งประเทศว่ายินดีจะรับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้หรือไม่ซึ่งในการลงประชามตินั้นเราควรมองภาพรวมของรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่ใช่มองรัฐธรรมนูญเป็นจุด ๆ แล้วตัดสินใจว่าจะรับหรือไม่ ทั้งนี้เพื่อให้การลงประชามติในครั้งนี้เป็นไปอย่างมีคุณภาพและเป็นรัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างแท้จริงโดยไม่ตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของกลุ่มคนใด

การเมืองจึงเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเราทั้งชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายรวมไปถึงครอบครัวญาติพี่น้องที่เรารักและห่วงใยการคิดว่าธุระไม่ใช่จึงถือเป็นการทำลายชีวิตของตนเองและประเทศชาติโดยรวมให้ย่อยยับไปด้วยน้ำมือของเราเอง
admin
เผยแพร่: 
งานอัพเกรด
เมื่อ: 
2007-08-23