ทำไมจีนจึงวางตัวเป็นกลางในวิกฤตยูเครน
แหล่งที่มาของภาพ : http://today.uconn.edu/wp-content/uploads/2014/03/ukraine.jpg
เดลินิวส์
คอลัมน์ ?แนวคิด ดร.แดน?
จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศตะวันตก นำโดย สหรัฐอเมริกา กับ รัสเซีย ภายใต้วิกฤตการณ์ทางการเมืองในประเทศยูเครน หลายประเทศมีนโยบายด้านการต่างประเทศต่อวิกฤตการณ์ดังกล่าวที่แตกต่างกัน นอกเหนือจากท่าทีของมหาอำนาจตะวันตกแล้ว ท่าทีของจีนในวิกฤตการณ์ครั้งนี้ยังถูกจับตามมองว่า จะมีนโยบายด้านการต่างประเทศเอนเอียงไปฝ่ายใด
ในวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ของจีน ได้ประกาศจุดยืนอย่างชัดเจนต่อทุกประเทศทั่วโลกว่า ประเทศจีนจะไม่ขอเลือกข้างในความขัดแย้งครั้งนี้ และหวังว่าประเทศมหาอำนาจอื่นๆ จะมีทางออกในการสร้างสันติภาพในประเทศยูเครนต่อไป
บทความชิ้นนี้จะอธิบายถึง สาเหตุว่าทำไมประเทศจีนจึงแสดงจุดยืนเป็นกลางในความขัดแย้งครั้งนี้ และวิกฤตการณ์ในยูเครนครั้งนี้ส่งผลดีอย่างไรบ้างต่อประเทศจีน
ปัจจัยที่ทำให้ประเทศจีนแสดงจุดยืนเป็นกลาง
1. ผลประโยชน์จากรัสเซีย
ถึงแม้ว่าประเทศจีนจะยึดหลักการไม่แทรกแซงอำนาจอธิปไตยของประเทศเพื่อนบ้าน ( non-interference of sovereignty ) เป็นนโยบายด้านการต่างประเทศที่สำคัญ ประเด็นที่รัสเซียผนวกไครเมียเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในวันที่ 17 มีนาคมที่ผ่านมา เป็นสิ่งที่ทำให้ประเทศจีนต้องตกที่นั่งลำบากในการแสดงจุดยืนทางการเมืองต่อวิกฤตการณ์ในครั้งนี้
แต่ด้วยเหตุที่ประเทศจีนมีความต้องการที่จะรักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัสเซีย จึงทำให้ประเทศจีนประกาศจุดยืนเป็นกลาง เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนว่าประเทศจีนไม่มีท่าทีในการยอมรับการกระทำของรัสเซีย ที่ขัดต่อนโยบายการต่างประเทศของจีน และขณะเดียวกันประเทศจีนไม่ต้องการร่วมกับประเทศตะวันตกในการคว่ำบาตรและต่อต้านการกระทำดังกล่าวของรัสเซีย
เมื่อพิจารณาจากผลประโยชน์ทางด้านเศรษฐกิจระหว่างรัสเซียและจีน ถือได้ว่าประเทศจีนมีการพึ่งพาทรัพยากรทางธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจำนวนมากจากประเทศรัสเซีย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจ หากประเทศจีนจะไม่แสดงท่าทีต่อต้านการกระทำของรัสเซีย เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศของตน
ทั้งนี้ หากประเทศตะวันตกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจรัสเซีย ประเทศจีนจะได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจากเดิม ด้วยเหตุที่รัสเซียต้องพึ่งพาจีนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ในภาวะขาดแคลนทรัพยากรจากชาติตะวันตก ซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่จีนได้รับไม่ต่างจากเหตุการณ์ในอดีต ที่จีนได้รับโดยตรงจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกในประเทศพม่า อิหร่าน และเกาหลีเหนือ เป็นต้น ดังนั้นการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตกต่อรัสเซียจะส่งดีต่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของประเทศจีนอย่างปฏิเสธไม่ได้
2. ความเป็นปึกแผ่นของผืนแผ่นดินจีน
จากความสำเร็จของไครเมียในการพยายามเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ผ่านผลประชามติจากประชาชนที่ส่วนใหญ่เลือกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียในวันที่ 16 มีนาคมที่ผ่านมา หากประเทศจีนยอมรับการกระทำดังกล่าวของไครเมีย คงจะส่งผลเสียโดยตรงต่อประเทศจีนในการรวมประเทศจีนให้มีความเป็นปึกแผ่นอย่างแน่นอน เหตุเพราะ ณ ปัจจุบัน มีหลายๆ เมืองในประเทศจีนที่มีความต้องการที่จะปกครองตนเอง อาทิ ฮ่องกง ทิเบต เป็นต้น ดังนั้นหากจีนยอมรับว่าการจัดทำประชามติมีความชอบธรรมในการแบ่งแยกประเทศและปกครองตนเองได้ เมืองต่างๆ ที่ได้กล่าวไปข้างต้น คงใช้หลักการนี้ในการต่อรองกับจีนแผ่นดินใหญ่ เพื่อที่จะปกครองตนเองโดยไม่ขึ้นตรงกับจีนเป็นแน่ ดังนั้นการวางตัวเป็นกลางจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
3. ผลประโยชน์ในยูเครน
อันเนื่องมาจากเดือนธันวาคมของปีที่ผ่านมา ประเทศจีนได้ทำข้อตกลงร่วมลงทุนกับรัฐบาลของนายวิกเตอร์ ยานูโควิช( Viktor Yanukovich) มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการลงทุนภาคการเกษตร พลังงาน การเงิน และโครงสร้างพื้นฐานภายในประเทศยูเครน จนทำให้ประเทศจีนกลายมาเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศยูเครน
ภายหลังจากที่นาย วิกเตอร์ ยานูโควิช ถูกโค่นล้มลงจากตำแหน่งประธานาธิบดี ทางเดียวที่จะรักษาผลประโยชน์ในยูเครนภายใต้รัฐบาลรักษาการ คือ ประเทศจีนต้องวางตัวเป็นกลาง ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เพราะหากประเทศจีนประกาศตัวชัดเจนว่าสนับสนุนรัสเซียในการผนึกรวมไครเมียเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย ผลประโยชน์อันมหาศาลที่จีนได้ตกลงร่วมลงทุนกับรัฐบาลชุดก่อนของนาย วิกเตอร์ ยานูโควิช อาจได้รับผลกระทบลบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรงท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมืองที่ไม่สงบภายในประเทศเป็นได้
กล่าวโดยสรุป เราคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า นโยบายต่างประเทศของประเทศจีนมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับบริบทโลกในรูปแบบที่เป็นมิตรกับประเทศทั่วโลกมากยิ่งขึ้น พิจารณาได้จากนโยบายต่างประเทศของอดีตประธานาธิบดี หู จิน เทา (Hu Jintao) ที่พยายามสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับประเทศจีนผ่านนโยบาย "ทะยานขึ้นอย่างสันติ" (peaceful rise) โดยเน้นความร่วมมือและการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้าน
จึงไม่น่าแปลกใจ หากรัฐบาลปักกิ่งจะตัดสินใจดำเนินนโยบายต่างประเทศอย่างชาญฉลาดท่ามกลางวิกฤตการณ์ทางการเมืองของยูเครน ซึ่งเปรียบเสมือนสมรภูมิสำหรับประเทศมหาอำนาจในการต่อสู้กันเพื่อผลประโยชน์ของประเทศของตน
ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์
kriengsak@kriengsak.com, http://www.kriengsak.com