ตีสนิทหัวหน้า ให้ก้าวหน้า แบบไม่เชลียร์


แหล่งที่มาของภาพ : http://leadershipfreak.files.wordpress.com/2010/09/boss.jpg

     ในเว็บไซต์ ?ไร้สาระนุกรม? ได้บัญญัติศัพท์คำว่า ?เชลียร์แมน? ไว้อย่างขำขำว่า คือ พวกชอบประจบสอพลอ มีทั้งที่รู้ตัว และไม่รู้ตัว สามารถพบได้ในบริษัทหรือออฟฟิศทั่วโลก ประโยชน์ในการเป็นเชลียร์แมน ได้แก่ เจ้านายรักใคร่ เอ็นดู  คนอื่นอิจฉา ริษยา  เลื่อนตำแหน่งเร็ว โบนัสขึ้น เงินเดือนขึ้น
     แพทริเซีย ไพรซ์ จากแครนฟิลด์ สกูล ออฟ แมเนจเมนท์  (Cranfield School of Management) ได้ศึกษาพบว่า การพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้มีอำนาจในสำนักงาน อาจทำให้พนักงานมีเส้นสายพิเศษในการเลื่อนตำแหน่ง และเส้นสายนี้มักก่อตัวขึ้นในผับหรือการไปดูการแข่งขันกีฬานอกเวลางาน
     อย่างไรก็ตาม คนทำงานทั่ว ๆ ไปมากกว่าร้อยละ 90 ย่อมไม่ชอบ หากมีเพื่อนร่วมงานที่ชอบประจบสอพลอเจ้านาย เป็นพวกขุนพลอยพยัก นายว่าอย่างไรก็ว่าตามนั้น หรือต่อหน้าทำตัวขยันขันแข็ง ลับหลังกลับเกียจคร้าน ชอบเกี่ยงงานให้คนอื่น  ส่งผลให้คนทำงานจำนวนหนึ่งที่กลัวว่า ตนเองจะถูกมองเป็น พวกเชลียร์แมน จึงไม่กล้าสนิทสนมกับหัวหน้างาน เป็นเพียงผู้รับคำสั่งและปฏิบัติตามหน้าที่เท่านั้น ไม่พูดคุยถามไถ่แลกเปลี่ยนเรื่องทั่ว ๆ ไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บรรยากาศการทำงานที่ค่อนข้างตึงเครียด ขาดความรู้สึกเป็นมิตร ไม่กล้าเข้าไปขอคำแนะนำหรือปรึกษาหารือ อาจส่งผลให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ และอาจทำให้ความสุขในการทำงานลดลงได้ 

     คำถามคือ เราควรมีมิตรภาพใกล้ชิดกับหัวหน้างานหรือไม่ และในระดับใดจึงเหมาะสม
     เป็นกันเองในฐานะผู้ร่วมงาน องค์กรการทำงานในยุคประชาธิปไตย ที่ส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมกัน ทำให้รูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างผู้บริหารกับพนักงาน เปลี่ยนไปจากในอดีตที่มักจะมีระยะห่างชัดเจน โดยผู้บริหารเป็นฝ่าย ออกคำสั่งและดูไม่เป็นมิตร ส่วนพนักงานเป็นฝ่ายรับคำสั่งและปฏิบัติตาม เริ่มเปลี่ยนเป็นการที่ทั้งสองฝ่ายพูดคุยแลกเปลี่ยน มีความเป็นกันเองและใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น ดังนั้น การมีมิตรภาพระหว่างกันจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมและเป็นธรรมชาติ เพราะมีความรู้สึกของความเป็น ?เพื่อนร่วมงาน? ผสมผสานเข้ากับความเป็นเจ้านาย-ลูกน้องอย่างกลมกลืน
     สนิทสนมเพราะ ?ชื่นชม? ไม่ใช่เชลียร์  ดร.โจเก้น เมนเกส แห่งวิทยาลัยธุรกิจของมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์  ( Cambridge Judge Business School)  ได้ข้อสรุปจากการวิจัยว่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อชั่งใจว่าจะเป็นเพื่อนกับเจ้านายหรือไม่คือ คุณชื่นชมเจ้านายหรือเปล่า ถ้าเรามองว่าหัวหน้าเป็นบุคคลต้นแบบ ที่เราต้องการเลียนแบบ เรียนรู้ ขอคำแนะนำปรึกษา เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเอง พัฒนางาน และพัฒนาองค์กร ความใกล้ชิดสนิทสนมในลักษณะเช่นนี้ย่อมเป็นการดี เพราะจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อตัวพนักงานเอง และต่อความก้าวหน้าขององค์กรโดยรวม
     ให้ความเคารพอย่างเหมาะสม เราควรยอมรับในสถานภาพและบทบาทที่แตกต่างระหว่างเรากับหัวหน้า และไม่ควรสนิทสนมแบบเพื่อนซี้หรือคนกันเอง จนขาดความเคารพให้เกียรติหรือเกรงใจกัน แต่เราต้องยินดีเคารพ ให้เกียรติ และรับฟังคำสั่งเสมอ หากต้องการโต้แย้งต้องทำอย่างสุภาพ เพื่อให้ระบบการทำงานดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ และที่สำคัญต้องตระหนักว่า หัวหน้าเป็นผู้ที่มีสิทธิให้คุณให้โทษเราได้ เควิน โรเบิร์ตส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ซาทชิ แอนด์ ซาทชิ แนะนำว่า ไม่ควรคิดเด็ดขาดว่า เจ้านายคือเพื่อน เพราะอย่างไรเสีย พนักงานก็เป็นรอง ทำพลาดหรือพูดผิดนิดเดียว ย่อมมีสิทธิกระทบถึงหน้าที่การงานขั้นร้ายแรงได้ 
     ?รู้ใจ? ให้มากกว่า ?รู้เรื่อง? การใช้เวลาอย่างไม่เป็นทางการ เช่น ไปรับประทานอาหารหลังเลิกงาน การดื่มกาแฟช่วงพัก ซึ่งมีโอกาสพูดคุยสนทนาเรื่องต่าง ๆ อย่างไม่เป็นทางการ รวมทั้งการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ และเรื่องส่วนตัวพื้นฐานที่ไม่เป็นการละลาบละล้วงเกินไป ย่อมเป็นการสร้างความสัมพันธ์ใกล้ชิดให้เกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีทำให้เรารู้ว่าหัวหน้าคิดอย่างไรในเรื่องต่าง ๆ  ฟิโอนา แซนด์ฟอร์ด ผู้อำนวยการฝ่ายบริการด้านอาชีพของลอนดอน บิสเนส สกูล ระบุว่า การพูดคุยเรื่องส่วนตัวกับหัวหน้าระหว่างดื่มกิน อาจทำให้เรารู้ว่าพวกเขากำลังเครียดเรื่องอะไรอยู่ และเป็นเคล็ดลับในการทำงานที่ทำให้เราทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  
     ความสนิทสนมกับหัวหน้างานไม่ใช่เรื่องผิด หรือเป็นเรื่องของพวกเชลียร์ ตรงกันข้าม เป็นเรื่องของพนักงานทุกคนที่ต้องเรียนรู้และเข้าใจ เพราะไม่เพียงเป็นช่องทางความก้าวหน้าจากความรู้ความเข้าใจที่ได้รับถ่ายทอด แต่เป็นช่องทางที่เราจะมีส่วนนำมาพัฒนางาน พัฒนาองค์กรในภาพรวมได้ด้วย

ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.comhttp://www.kriengsak.com