นัยซ่อนเร้นของโครงการเช่ารถเมล์ NGV (1): เปิดโปง

โดยปกติการบริการของภาครัฐอาจล่าช้าหรือขลุกขลักบ้างก็เป็นเรื่องที่ต้องพัฒนากันต่อไป แต่เรื่องใดที่จะกระทบต่อคุณภาพชีวิตของคนยากจนอย่างรุนแรง อย่างบางประเด็นในโครงการเช่ารถเมล์ที่ใช้ก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์ (Natural Gas Vehicle: NGV) ขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ผมต้องขออนุญาตใช้เนื้อที่ในหน้ากระดาษนี้ในการอธิบายเพื่อให้มีการพิจาณาโครงการนี้อย่างรอบคอบ
เมื่อวันอังคารที่ 10 มิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวงคมนาคมได้เสนอแผนการปรับโครงสร้าง ขสมก. เข้าในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมีสาระสำคัญคือ การนำรถเมล์เก่า 3,535 คัน ไปขายให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เช่น องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นและโรงพยาบาล แล้วแทนที่ด้วยการเช่ารถเมล์ติดเครื่องปรับอากาศที่ใช้ NGV จำนวน 6,000 คัน พร้อมทั้งเปลี่ยนระบบชำระค่าโดยสารเป็นแบบตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ หรือ E-ticket โดยเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย แต่มีทางเลือกอื่น ๆ เพื่อลดค่าใช้จ่ายของผู้โดยสาร เช่น ตั๋ววันราคา 30 บาท ตั๋วสัปดาห์ราคา 150 บาท ตั๋วเดือนราคา 900 บาท การลดครึ่งราคาให้คนชราและคนพิการ ตั๋วราคาพิเศษแก่นักเรียนนักศึกษา เป็นต้น
ตามกระแสที่ข่าวที่ออกมานั้น จุดประสงค์หลักของการปรับโครงสร้าง ขสมก. คือ การลดภาระการขาดทุนของ ขสมก. ซึ่งปัจจุบันขาดทุนสะสมกว่า 7 หมื่นล้านบาท และในภาวะที่ราคาน้ำมันดีเซลแพงขึ้นมากนั้น จะทำให้ ขสมก.ขาดทุนเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า คือ 1.4 แสนล้านบาท ในอีก 10 ปีข้างหน้า และการนำรถเมล์ NGV มาใช้จะทำให้ต้นทุนลดลง ซึ่งจะลดการขาดทุนสะสมลงได้ถึงร้อยละ 50 ในอีก 10 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ครม. รับทราบโครงการนี้ และให้เสนอรายละเอียดกลับมาใหม่อีกครั้ง ซึ่งในขณะที่ผมเขียนบทความนี้อยู่นั้นยังมิได้สรุปผลอย่างเป็นที่แน่นอนว่า รายละเอียดจะเปลี่ยนแปลงไปเช่นใด
เหตุผลประการหนึ่งที่ ขสมก.และกระทรวงคมนาคมพยายามเปลี่ยนมาใช้รถเมล์ NGV คือ ราคา NGV ถูกกว่าน้ำมันดีเซลมาก จากตารางที่ 1 จะเห็นว่า รถเมล์ NGV มีต้นทุนการเดินรถต่อระยะทาง ต่ำกว่ารถเมล์รถร้อนและรถเมล์ปรับอากาศประมาณร้อยละ 30
ตารางที่ 1 ต้นทุนการเดินรถต่อระยะทางของรถเมล์ประเภทต่าง ๆ
ประเภทรถเมล์
รถธรรมดา (ครีมแดง)
รถปรับอากาศ (ปอ.)
รถปรับอากาศ NGV
ต้นทุนการเดินรถ (บาท/กม.)
41.19
43.13
30.18
ที่มา: องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ
หากวิเคราะห์ตัวเลขงบกำไรขาดทุนของ ขสมก.ในปีงบประมาณ 2550 เราจะพบว่า การลดต้นทุนจากค่าเชื้อเพลิงในอัตราเพียงร้อยละ 30 จะทำให้การขาดทุนลดลงได้สูงสุด 2,268 ล้านบาท จากเดิมที่ขาดทุนสุทธิ 5,882 ล้านบาทในปีงบประมาณ 2550 และหากหักค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง (เนื่องจากเป็นรถเช่าจึงไม่ต้องซ่อมบำรุงเอง) อีก 1,915 ล้านบาท ก็ยังไม่เพียงพอที่จะพลิกผลประกอบการจากแนวโน้มเดิมที่จะการขาดทุนสะสมเพิ่ม 2 เท่า ในอีก 10 ปี มาเป็นการลดการขาดทุนสะสมครึ่งหนึ่ง ในอีก 10 ปี ซึ่งหมายความว่า ขสมก. จะต้องมีกำไรประมาณ 3,500 ล้านบาทต่อปีหลังการปรับโครงสร้างแล้ว
นั่นเป็นนัยว่าต้องมี ldquo;แหล่งที่มาของเงินrdquo; อื่นอีกประมาณ 5.2 พันล้านบาทต่อปี ที่จะทำให้ ขสมก. มีสภาพการเงินดีขึ้น หากจะพูดให้ชัดเจนก็คือ ขสมก.บังคับให้คนบางกลุ่มจ่ายหนี้แทน ขสมก.นั่นเอง
ผู้เสียหายกลุ่มแรกคือ กลุ่มผู้โดยสารซึ่งเป็นคนที่มีรายได้น้อย ซึ่งแต่เดิมสามารถนั่งรถเมล์ร้อนได้ โดยจ่ายค่าโดยสาร 7 บาท แต่ถ้า ครม. อนุมัติให้รถเมล์ร้อนทั้งหมดถูกแทนที่ด้วยรถแอร์ NGV ผู้โดยสารจะต้องจ่ายค่าโดยสาร 15 บาท นั่นหมายความว่า คนยากจนที่เคยนั่งรถเมล์ร้อนต้องจ่ายค่าโดยสาร เพิ่มขึ้น 2 เท่า ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว ต้นทุนการเดินรถลดลงอย่างน้อยร้อยละ 30 ตามข้อมูลในตารางที่ 1
ถ้า ขสมก. รีดเลือดจากปูขนาดนี้ ก็ต้องได้กำไรอย่างไม่มีข้อกังขา
ขสมก. อาจอ้างว่า ค่าโดยสารถูกลงด้วยซ้ำ หากพิจารณาโดยการเปรียบเทียบค่าโดยสาร 15 บาทกับ 22 บาท ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดในขณะนี้ แต่ความจริงแล้ว พฤติกรรมของผู้โดยสารที่มีรายได้น้อยมักจะนั่งรถเมล์ร้อนและนั่งในระยะทางใกล้ ๆ เนื่องจากรูปแบบชีวิตของคนจนมักอาศัยอยู่ใกล้ที่ทำงาน ในขณะที่คนที่มีรายได้สูงขึ้นนั้นมักรถนั่งโดยสารปรับอากาศและนั่งระยะทางค่อนข้างไกล ดังนั้นการเก็บค่าโดยสาร 15 บาทตลอดสาย นอกจากจะเป็นการยัดเยียดให้คนจนจ่ายหนี้แทน ขสมก. แล้ว ยังถือว่าเอาเงินคนจนที่อยู่บ้านใกล้ ไปช่วยค่าโดยสารคนรวยกว่าที่อยู่บ้านไกลอีกด้วย
การลดต้นทุนของ ขสมก. มิได้มีเพียงการเปลี่ยนชนิดของเชื้อเพลิงเท่านั้น การที่รถเมล์ NGV ทุกคันจะใช้ E-ticket นั้น ยังมีนัยว่า จะไม่มีพนักงานเก็บค่าโดยสารหรือกระเป๋ารถเมล์ ซึ่งจะทำให้ต้นทุนด้านค่าจ้างบุคลากรของ ขสมก. จะลดลงเกือบครึ่งหนึ่งทีเดียว นอกจากนี้การเช่ารถซึ่งทำให้ไม่ต้องซ่อมบำรุงรถเอง ทำให้พนักงานซ่อมบำรุงไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป แนวทางดังกล่าวแม้จะแสดงว่า ขสมก.มีประสิทธิภาพมากขึ้นและมีต้นทุนลดลง แต่อาจเป็นข่าวร้ายของกระเป๋ารถเมล์และพนักงานซ่อมบำรุง
ถึงแม้ผู้บริหาร ขสมก.ได้ยืนยันว่า จะไม่มีการปลดพนักงาน โดยจะมีแผนรองรับในช่วงเปลี่ยนผ่าน เช่น โครงการเกษียณอายุก่อนกำหนด หรือการเปลี่ยนงานจาก ldquo;พนักงานเก็บค่าโดยสารrdquo; เป็น ldquo;พนักงานประชาสัมพันธ์rdquo; เพื่อแนะนำการใช้ E-ticket รวมทั้งมีการฝึกอบรมพนักงานที่มีความรู้สูงให้เป็นพนักงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอีกด้วย ซึ่งหากเป็นจริงตามที่ได้กล่าวมานั้น ต้องนับว่าเป็นเรื่องที่ดีมาก
แต่เมื่อดูบริบทแวดล้อมต่าง ๆ มีความน่ากังวลต่ออนาคตของพนักงาน ขสมก.ในหลายประเด็น ประการแรกคือแผนเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ เพราะงานพนักงานประชาสัมพันธ์เป็นงานระยะสั้น เมื่อผู้โดยสารส่วนใหญ่ใช้ E-ticket เป็นแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานประชาสัมพันธ์อีก ส่วนพนักงานด้าน IT เป็นงานที่ต้องใช้ทักษะสูง คงจะมีพนักงานเก็บค่าโดยสารจำนวนน้อยมาก ที่สามารถยกระดับตนเองขึ้นเป็นพนักงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ หรือหากจะฝึกอบรมคงต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน
การปรับโครงสร้าง ขสมก.แม้เป็นมาตรการที่มีความจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ขสมก.ประสบกับการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ต้องไม่ลืมว่า ขสมก.เป็นบริการสาธารณะที่มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีรายได้น้อยด้วย รัฐบาลจึงควรคำนึงถึงทั้งด้านประสิทธิภาพและการช่วยเหลือประชาชนไปพร้อมกัน
ในบทความครั้งต่อไป ผมจะขออนุญาตเสนอแนะแนวทางในการปรับปรุงเนื้อหาบางประเด็นของโครงการปรับโครงสร้าง ขสมก. เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ครับ
* นำมาจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่19 มิถุนายน 2551

แสดงความคิดเห็น
admin
เผยแพร่: 
0
เมื่อ: 
2008-06-19