ไทยจะต้องรับมืออย่างไนในโลก G-0 (The G-Zero World)
Ian Bremmer ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งและประธานกลุ่มของ The Eurasia Group ได้เขียนหนังสือออกมาเล่มหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ชื่อว่า Every Nation for Itself: Winners and Losers in a G- Zero World เพื่ออธิบายถึงสิ่งที่รัฐบาลทุกประเทศกำลังเผชิญอยู่ในเวลานี้ ซึ่งมีหลายประเด็นที่น่าสนใจที่น่าหยิบยกขึ้นมาเป็นแง่คิดสำหรับประเทศไทย
เราอาจเคยได้ยินข่าวและได้เห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการประชุมร่วมกันในประเด็นที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจโลกของกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลกอย่างกลุ่ม G7 (แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา) หรือกลุ่ม G8 (G7 และรัสเซีย) หรือแม้กระทั่งกลุ่ม G20 (G8 และสหภาพยุโรปร่วมกับประเทศและประเทศระบบเศรษฐกิจเกิดใหม่ขนาดใหญ่อีก 11 ประเทศ คือ อาร์เจนตินา ออสเตรเลีย บราซิล จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เม็กซิโก ซาอุดิอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ และตุรกี) แต่ Bremmer ได้อธิบายว่าโลกของเราปัจจุบันได้เคลื่อนที่จากจุดที่สหรัฐและประเทศพันธมิตรทั้งหลาย (เช่น G7, G8 หรือ G20) เป็นแกนนำของโลกไปแล้ว โลกขณะนี้เป็นโลกของ G0 (G-Zero) ซึ่งเป็นสภาวะที่โลกไร้ผู้นำที่แท้จริง ไม่ว่าสหรัฐหรือประเทศใดก็ตามไม่สามารถที่จะเป็นแกนนำของโลกในการผลักดันวาระระหว่างประเทศได้เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาในอดีต

แหล่งที่มา : http://www.ianbremmer.com/sites/default/files/styles/book_photo_home/public/gzero-homepage.jpg
โลกได้เคลื่อนมาถึงจุดดังกล่าวได้อย่างไร? Bremmer อธิบายว่าเป็นเพราะวิกฤตการณ์ทางการเงินที่เกิดขึ้นที่สหรัฐในปี 2008 ทำให้เกิดช็อคที่มีขนาดใหญ่มากพอที่ทำให้เกิดช่วงเวลาของการทำลายเชิงสร้างสรรค์ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งมีผลทำให้สมดุลทางอำนาจของโลกค่อยๆ เคลื่อนจากสหรัฐไปยังจีน จากประเทศพัฒนาแล้วไปยังประเทศกำลังพัฒนา และจากประเทศที่เป็นลูกหนี้อย่างสหรัฐไปยังประเทศที่เป็นเจ้าหนี้ ซึ่งในช่วงเวลานี้เองที่ทำให้เกิดความไม่สมดุลขึ้นในโลกและทำให้เกิดสภาวะที่โลกไร้ซึ่งประเทศที่สามารถขึ้นมาเป็นผู้นำได้อย่างแท้จริง
ในโลกที่ไม่มีผู้นำ สหรัฐไม่อยู่ในสถานะดังกล่าวอีกต่อไปและไม่มีประเทศใดขึ้นมาทดแทนได้ในเวลานี้ ทำให้เกิดความเสี่ยงหรือเป็นโอกาสกับแต่ละประเทศอย่างไร? ประเทศใดจะกลายเป็นผู้ชนะหรือผู้แพ้? ประเทศควรจะปรับตัวอย่างไรให้สอดคล้องกับสถานการณ์เช่นนี้?
Bremmer ชี้ว่าในโลก G0 นั้นไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว ประเทศที่เป็นผู้ชนะไม่ใช่เพียงประเทศที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่น่าพอใจเพียงเท่านั้น แต่ต้องเป็นประเทศที่มีความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ เป็นประเทศที่เรียนรู้ที่จะป้องกันความเสี่ยงและสามารถที่จะจัดการกับช็อคที่คาดการณ์ไว้และอยู่นอกเหนือการคาดการณ์ได้โดยยังสามารถยืนหยัดมั่นคงด้วยตัวเองได้ ซึ่ง Bremmer เรียกประเทศที่มีคุณสมบัติเหล่านี้ว่า ?Pivot state?
Bremmer ยกตัวอย่างหลายประเทศที่มีคุณสมบัติดังกล่าว เช่น ตุรกี ซึ่งเป็นประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ในอดีตนั้นพวกเขามีความเชื่อมโยงกับยุโรปเป็นอย่างมาก แต่ตั้งแต่ปีที่แล้วตุรกีได้กลายเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของอิรัก ตุรกีสามารถที่จะแสวงหาประโยชน์จากโอกาสทางเศรษฐกิจที่เปิดออกจากประเทศในตะวันออกกลางได้ นอกจากนี้ยังสามารถใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ที่พวกเขามีต่อรัสเซียและยุโรปได้เป็นอย่างดี ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้ปัจจุบันตุรกีเป็นประเทศหนึ่งที่มีความน่าสนใจมากขึ้นในสายตาของนักลงทุนทั่วโลก
อินโดนีเซีย เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งซึ่งสามารถสร้างสมดุลในทางการค้าระหว่างจีน สหรัฐ ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ได้ โดยไม่ผูกติดหรือพึ่งพาประเทศใดมากเกินไป เป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการกระจายความเสี่ยงได้ดี
คาซัคสถาน ซึ่งปัจจุบันเป็นหนึ่งในประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวเร็วที่สุดในโลก พยายามกระจายการส่งออกน้ำมัน เหล็ก เมล็ดธัญพืชในหลายประเทศ เพื่อหลีกเลี่ยงที่จะพึ่งพารัสเซียมากเกินไป แม้พวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งขององค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ Shanghai Cooperation Organization) ซึ่งมีทั้งจีนและรัสเซียเป็นส่วนหนึ่ง แต่ประเทศที่เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งของคาซัคสถาน คือ สหภาพยุโรป เป็นต้น
ไทยมีลักษณะของการเป็น Pivot state ตามที่ Bremmer อธิบายอยู่บ้าง เช่น ในระยะเวลาที่ผ่านมาไทยลดการพึ่งพาการส่งออกในตลาดสหรัฐลงไปมากและมีความพยายามที่จะกระจายตลาดส่งออกไปยังประเทศอื่นมากขึ้น อย่างไรก็ตามเรายังคงอยู่ในภาวะที่ต้องพึ่งพาอยู่มาก เช่น
- เศรษฐกิจไทยยังคงต้อง ?พึ่งพา? การส่งออกเป็นหลัก และถึงแม้ไทยลดการ ?พึ่งพา? การส่งออกไปยังสหรัฐ แต่หันมา ?พึ่งพา? จีนแทน หากเศรษฐกิจจีนชะลอตัว ย่อมทำให้เศรษฐกิจไทยชะลอตัวไปด้วย
- ประเทศไทย ?พึ่งพา? พลังงานจากภายนอกมากจนเกินไป ทรัพยากรธรรมชาติด้านพลังงานที่ไทยผลิตได้เองไม่เพียงพอต่อความต้องการ ทำให้ไทยต้องนำเข้าน้ำมันถึงร้อยละ 84 และก๊าซธรรมชาติ ร้อยละ 21 ของปริมาณการใช้ทั้งหมดของประเทศ มีการคาดการณ์ว่าในอนาคตไทยต้องนำเข้าพลังงานเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งต้องซื้อไฟฟ้าจากประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น เป็นต้น
นอกจากประเทศไทยจะยังคงอยู่ในภาวะพึ่งพาแล้ว สิ่งที่ประเทศไทยยังขาดคือ ความคล่องตัวในการปรับเปลี่ยนตัวเองให้เข้ากับบริบทของโลกที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วได้ เห็นได้จากกรณีความล่าช้าในการบริหารจัดการปัญหาต่างๆ ภายในประเทศของเราไม่ว่าจะเป็นกรณีน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา (และอาจจะกำลังกลับมาเป็นปัญหาอีกครั้งในปีนี้) หรือแม้แต่การที่ไทยกำลังจะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนในปี พ.ศ.2558 แต่การเตรียมความพร้อมและการผลักดันจากภาครัฐให้คนไทยปรับตัวให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ยังดูไปเรื่อยๆ และไม่จริงจังมากนัก
ประเทศไทยต้องปรับตัวมากกว่านี้ รัฐบาลต้องเอาจริงมากกว่านี้ ไม่เช่นนั้น คนไทยทั้งประเทศจะกลายเป็นผู้แพ้ในเวทีโลกในท้ายที่สุด
ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, http://www.kriengsak.com
ศ.ดร. เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์
นักวิชาการอาวุโส ศูนย์ศึกษาธุรกิจและรัฐบาล มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
kriengsak@kriengsak.com, http://www.kriengsak.com
Tags:
Post date:
Wednesday, 5 September, 2012 - 15:33