นโยบายที่รัฐบาลควรให้ความสำคัญ




* ที่มาของภาพ - http://learners.in.th/file/tanin_hong_sa/think.gif


จากการพิจารณานโยบายของรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นับว่าเป็นนโยบายที่มีหลักการครอบคลุมในหลายประเด็นที่สำคัญ แต่จากการที่ผมได้มีโอกาสทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด พบว่ายังมีบางปัญหาที่เป็นอุปสรรคมากที่สุดสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจไทย แต่ยังไม่ถูกให้ความสำคัญอย่างเพียงพอในนโยบายของรัฐบาล ผมจึงขอเสนอนโยบายที่รัฐบาลควรผลักดันให้เกิดขึ้นดังต่อไปนี้
ส่งเสริมการแข่งขันในภาคการเงิน
การที่ภาคธุรกิจในประเทศไทยขาดความสามารถในการแข่งขัน ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาต้นทุนทางการเงินสูง สังเกตได้จากช่องว่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และเงินฝากที่สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ธุรกิจส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ในขณะที่สถาบันการเงินไม่มีการแข่งขันอย่างเพียงพอ และตลาดทุนยังขาดประสิทธิภาพ ทำให้ผู้ประกอบการขาดทางเลือกในการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และการจัดสรรทรัพยากรทางการเงินอยู่ในอำนาจของสถาบันการเงิน
แนวทางการลดต้นทุนทางการเงิน รัฐบาลจำเป็นต้องเพิ่มระดับการแข่งขันในระบบสถาบันการเงิน โดยการเปิดเสรีให้มีการจัดตั้งสถาบันการเงินมากขึ้น การพัฒนาตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร และเพิ่มเครื่องมือทางการเงินใหม่ ๆ เพื่อเพิ่มทางเลือกในการออมและลงทุนให้กับประชาชน และทางเลือกในการระดมทุนของภาคธุรกิจ รวมทั้งพัฒนาระบบการออมภาคบังคับเพื่อให้มีเงินออมในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น
ขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ
ประเทศไทยมีเศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ โดยแรงงานกว่า 22.5 ล้านคน หรือร้อยละ 70 ของกำลังแรงงานเป็นแรงงานนอกระบบซึ่งมีความเสี่ยงในการเผชิญความผันผวนของเศรษฐกิจ การว่างงาน การขาดรายได้ และขาดหลักประกัน เนื่องจากประกันสังคมไม่ครอบคลุมแรงงานนอกระบบ แม้รัฐบาลที่ผ่านมาได้ขยายสวัสดิการสังคมไปสู่ประชาชนนอกระบบมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบการสงเคราะห์ แต่งบประมาณที่จำกัดทำให้ความคุ้มครองไม่ครอบคลุมหลักประกันการจ้างงานและหลักประกันชราภาพ
การที่รัฐจะอุดหนุนเพื่อให้แรงงานทั้งหมดได้รับหลักประกันต้องใช้งบประมาณมหาศาล ดังนั้นการนำแรงงานนอกระบบเข้าสู่ระบบประกันสังคมจึงเป็นนโยบายที่ควรผลักดันให้เกิดขึ้น เพื่อให้แรงงานนอกระบบมีส่วนร่วมในการจ่ายสมทบเพื่อการประกันตนเองด้วย โดยให้จ่ายเงินสมทบตามฐานะทางเศรษฐกิจของแต่ละคน และบูรณาการระบบสวัสดิการสังคมทั้งหมดเข้ามารวมอยู่ในประกันสังคม เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน รวมทั้งใช้ระบบข้อมูลข่าวสารและกลไกของภาครัฐทั้งหมดเป็นเครื่องมือในการบังคับและจูงใจให้ประชาชนจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม
นำเข้าและส่งออกแรงงาน
เศรษฐกิจไทยเผชิญปัญหาขาดแคลนแรงงานทั้งระดับบนและระดับล่าง ประเทศไทยขาดแคลนแรงงานที่มีทักษะสูงกว่า 2.3 แสนตำแหน่ง ขณะที่สัดส่วนแรงงานในสายวิทยาศาสตร์มีไม่ถึงร้อยละ 3 ของแรงงานรวม ทำให้ภาคการผลิตไม่สามารถปรับโครงสร้างการผลิตไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ และเป็นอุปสรรคต่อการลงทุนจากต่างประเทศ เพราะจัดหาแรงงานทักษะสูงได้ยาก ในขณะที่กลุ่มแรงงานไร้ฝีมือ แม้เป็นกลุ่มที่มีอุปทานของแรงงานจำนวนมาก แต่แรงงานไร้ฝีมือของไทยมีค่าจ้างสูงกว่าประเทศคู่แข่ง ทำให้เศรษฐกิจไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานเข้มข้น ผู้ประกอบการจึงต้องลักลอบนำเข้าแรงงานต่างด้าวที่ผิดกฎหมายเป็นจำนวนมาก
แน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาในระยะยาว จำเป็นต้องเพิ่มปริมาณและพัฒนาคุณภาพของผลผลิตของการอาชีวศึกษาและการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การปฏิรูประบบพัฒนาฝีมือแรงงาน และการสร้างงานในประเทศ แต่ในระยะสั้น ตลาดแรงงานควรมีความยืดหยุ่นมากขึ้น กล่าวคือ การนำเข้าแรงงานต่างด้าวมากขึ้น ทั้งแรงงานไร้ฝีมือและแรงงานทักษะสูงในสาขาที่ขาดแคลน ขณะเดียวกัน ควรส่งแรงงานส่วนเกินออกไปทำงานต่างประเทศมากขึ้น โดยจัดฝึกอบรมภาษาและทักษะที่ต่างประเทศต้องการ และจัดระบบคุ้มครองแรงงานไทยในต่างประเทศ ทั้งนี้ทั้งนั้นการดำเนินนโยบายนี้ รัฐจะต้องคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมที่อาจจะเกิดขึ้น และจัดเตรียมมาตรการป้องกันและบรรเทาผลกระทบดังกล่าวด้วย
เมกะโปรเจ็กต์ด้านการวิจัยและพัฒนา
ปัญหาการขาดนวัตกรรมเป็นอุปสรรคที่ทำให้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจได้ช้า ผลิตภาพของการผลิตต่ำ ซึ่งเกิดจากจำนวนนักวิจัยที่ต่ำกว่ามาตรฐานถึง 3 เท่า การลงทุนวิจัยและพัฒนามีเพียงร้อยละ 0.25 ต่อจีดีพีต่ำกว่าเกาหลีใต้และไต้หวันที่มีการลงทุนวิจัยและพัฒนาเฉลี่ยร้อยละ 2.5 ของจีดีพี ซึ่งในประเด็นนี้นโยบายของรัฐบาลพูดเพียงกว้าง ๆ ไม่ได้ให้น้ำหนักมากพอ ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญมาก
รัฐบาลควรกำหนดทิศทางการวิจัยและพัฒนา และตั้งเป้าหมายการสร้างนักวิจัยและงบการลงทุนวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน ผมปรารถนาที่จะเห็นการผันงบประมาณบางโครงการที่ยังไม่จำเป็นมากนัก เพื่อลงทุนในเมกะโปรเจ็กต์ด้านการลงทุนวิจัยและพัฒนา ซึ่งเป็นโครงการที่มีเป้าหมายบางอย่างที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ และจะผลิตนวัตกรรมออกมาจำนวนมากด้วย คล้ายกับโครงการอพอลโล่ 11 ของสหรัฐฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อเดินทางไปดวงจันทร์ แต่ระหว่างทางได้สร้างนวัตกรรมออกมาเป็นจำนวนมาก
แม้ว่ารัฐบาลปัจจุบันเป็นรัฐบาลผสมและมีความสงสัยกันว่าเป็นนอมินีของนายกรัฐมนตรีคนก่อนหน้านี้ จนทำภาคเอกชนและนักลงทุนให้เกิดความกังวลว่า อายุของรัฐบาลจะไม่ยาวนัก แต่หากรัฐบาลมีความมุ่งมั่นในการบริหารประเทศ และนำนโยบายที่ผมได้เสนอข้างต้นไปดำเนินการ นอกจากจะสามารถพัฒนาเศรษฐกิจให้จำเริญขึ้นในระยะยาวแล้ว ยังก่อประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจและการเมืองในระยะสั้นอีกด้วย
* นำมาจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่6 มีนาคม 2551

แสดงความคิดเห็น
admin
เผยแพร่: 
0
เมื่อ: 
2008-03-06