ผลิต ด๊อกเตอร์ อย่าเน้นปริมาณ

ในอดีต นักศึกษาปริญญาเอกในประเทศไทยมีไม่มากนัก เนื่องจากมีมหาวิทยาลัยที่เปิดสอนหลักสูตรปริญญาเอกไม่กี่แห่ง แต่ละแห่งรับนักศึกษารุ่นละไม่เกิน 5 คน เพราะการจะเปิดการสอนในระดับนี้ได้ จะต้องใช้ทรัพยากรในการจัดการศึกษามาก ซึ่งมีมหาวิทยาลัยไม่กี่แห่งที่มีความพร้อม เมื่อเทียบกับปัจจุบัน มหาวิทยาลัยที่เปิดหลักสูตรระดับปริญญาเอกมีมากขึ้น โดยปีการศึกษา 2549 มีมหาวิทยาลัยรัฐและเอกชนเปิดหลักสูตรปริญญาเอกจำนวน 53 แห่ง ทั้งนี้ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่ต้องการพัฒนาความรู้ในสาขาที่ตนทำงาน และองค์กรต่าง ๆ ต้องการผู้จบปริญญาเอกมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่องคุณภาพการศึกษา เกรงว่าจะเข้าข่าย ldquo;จ่ายครบจบง่ายrdquo; เนื่องจากมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดสอนปริญญาเอกทั้งภาคปกติ ภาคพิเศษ ซ้ำยังย่นเวลาเรียนให้สั้นลง เน้นทฤษฎีมากกว่าการวิจัย และไม่จำกัดจำนวนนักศึกษา อาทิ ศ.ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์ ผอ.สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์กรมหาชน) หรือ สมศ. แสดงความเห็นว่าการศึกษาปริญญาเอกของไทยขยายตัวเร็วไป ปริมาณมาก่อนคุณภาพ คือ รับนักศึกษารุ่นละ 40-50 คน หรือไม่จำกัด มักจ้างศาสตราจารย์เกษียณ หรือใกล้เกษียณเป็นประธานหลักสูตร มีอาจารย์ที่ปรึกษาเพียง 4-5 คน อาจารย์ 1 คน ต้องให้คำปรึกษานักศึกษาหลายสิบคน จึงไม่สามารถลงลึกในด้านวิชาการได้ เข้าข่ายหลักสูตรที่ผลิตดอกเตอร์กล้วย ที่ รศ.ดร.วรากรณ์ สามโกเศศ รมช. ศึกษาธิการ (ศธ.) ได้ให้ความหมายว่า เป็นดอกเตอร์ที่ทำวิทยานิพนธ์ครั้งเดียว เหมือนกล้วย ออกดอกผลไม่กี่ครั้งแล้วรอวันตาย
ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการรับนักศึกษาปริญญาเอกจำนวนมาก โดยไม่มีการควบคุมอย่างเหมาะสม ได้แก่
บัณฑิตปริญญาเอกขาดคุณภาพ การที่มหาวิทยาลัยรับนักศึกษาปริญญาเอกจำนวนมาก ส่งผลเสียต่อการเรียนการสอน เนื่องจากอาจารย์ 1 คน ต้องรับผิดชอบนักศึกษาหลายคน จึงเป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์จะสามารถลงลึกด้านการวิจัยกับนักศึกษา การเรียนปริญญาเอกปัจจุบันเน้นสอนทฤษฎี จึงไม่แปลกใจที่บัณฑิตปริญญาเอกจำนวนมากทำวิจัยไม่เป็น และไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้จากทฤษฎีออกมาเป็นภาคปฏิบัติ เมื่อบัณฑิตเหล่านี้ออกมาประกอบอาชีพเป็นครูอาจารย์ ยิ่งตอกย้ำการศึกษาที่ขาดคุณภาพ
บัณฑิตปริญญาเอกล้นตลาดแรงงาน ในแต่ละปีมีผู้ที่ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกเพิ่มมากขึ้น หากไม่มีการควบคุมปริมาณ อาจเกิดภาวะบัณฑิตระดับปริญญาเอกล้นตลาดแรงงานได้ ซึ่งปัญหานี้เกิดขึ้นกับประเทศสหรัฐอเมริกา เพราะแต่ละปี สหรัฐฯ ผลิตบัณฑิตปริญญาเอกมากกว่า 4 หมื่นคน แต่พบว่า บัณฑิตเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่มีงานทำ นอกนั้น ไม่ยอมทำงานที่ต่ำกว่าวุฒิการศึกษาจึงตกงานค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบัณฑิตปริญญาเอกสาขาศึกษาศาสตร์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ และสาขาสังคมวิทยา ซึ่งกว่าร้อยละ 90 ไม่ทราบว่ามีแหล่งงานที่ต้องการคนจบสาขานี้หรือไม่
กระทบต่อการบริหารองค์กรและประเทศ กรณีที่ดอกเตอร์ขาดคุณภาพ จบออกมาเป็นผู้บริหารองค์กรหรือผู้บริหารประเทศ ด้วยความที่มีเพียงวุฒิการศึกษาแต่ขาดความรู้และทักษะ อาจทำให้การบริหารผิดพลาด หรือไม่ไปในทิศทางที่เกิดประโยชน์สูงสุด จนส่งผลเสียต่อคนในองค์กรและคนในประเทศ
แม้ปัจจุบันบัณฑิตระดับปริญญาเอกจะเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน แต่การรับนักศึกษาปริญญาเอกโดยไม่จำกัดจำนวนนั้น อาจส่งผลเสียคุณภาพบัณฑิตที่ลดต่ำลงจนกระทบต่อสังคมในภาพรวม ดังนั้น ศธ. ควรมีมาตรการควบคุมการจัดการศึกษาระดับนี้ให้มีคุณภาพ โดยร่วมมือกับ สมศ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดย
คุมการผลิตนักศึกษาปริญญาเอกที่มีคุณภาพ โดยมีระบบการประเมินที่เป็นมาตรฐานและหากผลการประเมินพบว่า มหาวิทยาลัยใดเปิดหลักสูตรปริญญาเอกไม่ได้มาตรฐาน ศธ. อาจพิจารณาให้มหาวิทยาลัยหยุดรับนักศึกษาชั่วคราว หรือรับนักศึกษาในจำนวนที่น้อยลง จนกว่าจะเห็นว่ามหาวิทยาลัยได้ปรับมาตรฐานเรียบร้อยแล้ว มิฉะนั้น มหาวิทยาลัยอาจผลิตบัณฑิตปริญญาเอกที่ไร้คุณภาพสู่ตลาดได้
ควรศึกษาวิจัยความสอดคล้องระหว่างความต้องการของตลาดแรงงานกับปริมาณบัณฑิตปริญญาเอก แยกเป็นรายสาขาวิชา เพื่อป้องกันปัญหาบัณฑิตปริญญาเอกล้นตลาดแรงงานหรือขาดแคลนในบางสาขา
ปริญญาเอก ถือว่าเป็นการศึกษาระดับสูงที่สุด ผู้ที่สำเร็จการศึกษาระดับนี้จึงถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ทั้งทฤษฎีและการวิจัย และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ แต่ปัจจุบันดูเหมือนจะเกิดข้อกังวลและความกังขาเกี่ยวกับผู้ที่ได้คำนำหน้าว่าเป็น ldquo;ด๊อกเตอร์rdquo; ดังที่กล่าวมาข้างต้น ดังนั้น ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง อาทิ ศธ. และ สมศ.ควรควบคุมคุณภาพและปริมาณบัณฑิต มหาวิทยาลัยควรคำนึงถึงผลกระทบต่อสังคมมากกว่าแสวงหารายได้ เพื่อผลิตบัณฑิตปริญญาเอกที่มีคุณภาพ และเป็นผู้ที่สร้างองค์ความรู้ให้แก่ประเทศชาติอย่างแท้จริง
แสดงความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2007-11-19