?ทักษะการฟัง? ทักษะสำคัญที่พ่อแม่ไม่ควรมองข้าม

แม่ : ldquo;ลูกเปิ้ลจ้ะ ช่วยบอกน้องแจ็คด้วยให้หยุดเล่นเดี๋ยวนี้แล้วรีบอาบน้ำแล้วเอาเสื้อผ้าไปใส่ถุงซักผ้า
ให้เรียบร้อยก่อนทานอาหารเย็นนี้นะrdquo;
เปิ้ล : รีบวิ่งไปบอกน้อง ldquo;แจ็ค...แม่บอกว่าหยุดเล่นเดี๋ยวนี้แล้วรีบไปอาบน้ำเลย อ้อ อย่าลืมซักผ้าให้
เสร็จก่อนถึงค่อยไป ทานอาหารเย็นนะrdquo;
------------------------------------------เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น---------------------------------------------------
แม่: ldquo;แจ็คอยู่ไหนนะทำไมไม่รีบมาทานอาหารเย็นด้วยกัน เปิ้ลไปตามน้องหน่อยสิลูกrdquo;
เปิ้ล : ldquo;แจ็คอยู่ไหนนะ...รีบมาทานอาหารเย็นเร็วทุกคนรออยู่rdquo;
แจ็ค :ldquo;อ้าว ... ก็พี่เปิ้ลบอกว่าแม่ให้ผมอาบน้ำแล้วซักผ้าในถุงให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมาทานข้าว
นี่ครับ เนี่ยะยังซักไม่เสร็จเลย เหนื่อยน่าดูเลย หิวก็หิวrdquo;
แม่:ldquo;แม่บอกว่าให้อาบน้ำแล้วเอาเสื้อผ้าใส่ในถุงซักผ้า เพื่อรอส่งไปร้านซักผ้าไม่ได้บอกว่าให้แจ็ค
ต้องไปซักเองrdquo;
แจ็ค :ldquo;อ้าว!ก็พี่เปิ้ลบอกว่าให้ผมซัก...rdquo;
เปิ้ล : ldquo;อ้าว!ก็แม่บอกว่าให้แจ็คซัก....rdquo;
แม่ : ldquo;แม่ไม่ได้พูดอย่างนั้นนะrdquo;
เปิ้ล/แจ็ค: rdquo;แจ็คนั่นแหละฟังผิดrdquo;...rdquo;พี่เปิ้ลนั่นแหละผิด ฟังไม่รู้เรื่องแล้วมามั่วrdquo;
--------และแล้วอาหารเย็นวันนั้นก็จบลงด้วยการทะเลาะเบาะแว้งกันอย่างไม่มีทีท่าจะยุติลงง่าย ๆ-----
จากเหตุการณ์ดังกล่าวเราพบว่าในการสื่อสารใด ๆ หรือการพูดคุยสนทนาระหว่างกันในเรื่องหนึ่งเรื่องใดนั้น ldquo;ทักษะการฟังrdquo; เป็นสิ่งสำคัญมาก การเป็นนักฟังที่เข้าทำนอง ldquo;ฟังไม่ได้ศัพท์แล้วจับมากระเดียดrdquo; ตามที่สุภาษิตไทยโบราณว่าไว้นั้น นอกจากจะนำมาซึ่งความผิดพลาดในการสื่อสารแล้ว ยังอาจนำมาซึ่งความเข้าใจผิด การทะเลาะเบาะแว้งไม่ลงรอยระหว่างกันดังเช่นครอบครัวตัวอย่างข้างต้น

ทักษะการฟังเป็นทักษะสำคัญที่จำเป็นต้องเรียนรู้ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทักษะการสื่อสารด้านอื่น ๆ เช่น ทักษะการพูด อ่าน เขียน ฯลฯ ทักษะการฟังที่ดีนำมาซึ่งความสำเร็จในชีวิต เนื่องจากเป็นพื้นฐานสำคัญของการทักษะการเข้าสังคม ลดความเข้าใจผิด ความขัดแย้งในการปฏิสัมพันธ์กับคน นอกจากนี้การพัฒนาทักษะการฟังส่งผลต่อการพัฒนาในด้านสติปัญญา ในแง่ของการฝึกใช้ความคิด การจับประเด็น ฝึกความจำ และฝึกฝนการจดจ่อแน่วแน่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ต้องการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตามแม้ทักษะการฟังจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่าทักษะนี้เป็นเรื่องที่สามารถพัฒนาขึ้นมาได้เองตามธรรมชาติจึงไม่ต้องดิ้นรนฝึกฝนมากเท่ากับทักษะการสื่อสารด้านอื่น ๆ ดังนั้นพ่อแม่จำนวนมากจึงมักละเลยที่จะฝึกทักษะด้านการฟังนี้ให้กับลูกไปอย่างน่าเสียดาย เมื่อเทียบกับทักษะในด้านการพูด อ่าน เขียน ที่พ่อแม่ให้น้ำหนักความสำคัญในการฝึกฝนลูกมากกว่า

ทั้งๆที่ในความเป็นจริงแล้วทักษะการฟัง เป็นทักษะที่จำเป็นต้องได้รับการฝึกฝนเช่นเดียวกัน โดยควรฝึกฝนตั้งแต่วัยเยาว์ เพื่อพัฒนาทักษะดังกล่าวให้เป็นอุปนิสัยประจำตัวที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตครอบครัวและชีวิตการทำงานของลูกต่อไปในอนาคต

พ่อแม่สอนลูกให้เป็นนักฟังที่ดีได้อย่างไร
เริ่มจากตัวพ่อแม่เองต้องเป็นนักฟังที่ดีนั่นคือพ่อแม่ต้องเรียนรู้ที่จะฟังลูกเมื่อลูกต้องการสื่อสารหรืออยากเล่าเรื่องอะไรให้พ่อแม่ฟังพ่อแม่ไม่ควรแสดงความรำคาญไม่อยากฟังลูกหรือฟังแบบขอไปที โดยไม่ได้สนใจในสิ่งที่ลูกพูดจริง ๆ เปลี่ยนเรื่องพูดหรือคุยเรื่องอื่นแทรกขัดจังหวะลูก ฟังลูกพูดไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วยพร้อม ๆ กัน ฯลฯ รวมทั้งพ่อแม่ควรระวังพฤติกรรมของตนในขณะสื่อสารกับคนอื่น เช่น ขณะคุยโทรศัพท์ขณะที่พ่อแม่คุยกันเอง ฯลฯ ซึ่งจะส่งผลต่อการลอกเลียนแบบของลูกโดยปริยาย นอกจากนี้ในการสื่อสารเรื่องใด ๆ กับลูกพ่อแม่ไม่ควรคิดเอาเองว่าลูกคงเข้าใจเหมือนอย่างที่ตนเองเข้าใจ แต่พ่อแม่ควรสื่อสารออกไปอย่างชัดเจนและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเพื่อให้มั่นใจว่าลูกนั้นเข้าใจในสิ่งที่ตนพูดจริง ๆ ดังคำที่กล่าวว่า ldquo;Say what you mean, and mean what you sayrdquo; นั่นเอง

ฝึกฝนความอดทนในการเป็นผู้ฟังที่ดี
การฟังอย่างมีประสิทธิภาพนั้นเป็นสิ่งที่สามารถสอนและฝึกฝนกันได้ แต่พื้นฐานสำคัญอันดับแรกสุดในการฝึกฝนดังกล่าวนั้น คือ การฝึกฝนความอดทนในการเป็นผู้ฟังที่ดี ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วความอดทนรอคอยของเด็กในเรื่องใดเรื่องหนึ่งจะมีน้อยกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น พ่อแม่จึงควรฝึกให้เด็กเรียนรู้ที่จะเป็นผู้ฟังด้วยความอดทนโดยไม่เกิดความเบื่อหน่ายหรือถูกเรื่องอื่นดึงดูดความสนใจไปเสียก่อน

ภาคปฏิบัติในการฝึกฝนนั้นพ่อแม่สามารถฝึกลูกได้โดยใช้กิจกรรมที่เรียกว่า sit time ในการกำหนดให้มีช่วงเวลาหนึ่งในแต่ละวันให้ลูกได้ไปฝึกฟังเทปบทเรียนต่าง ๆเทปนิทาน หรือ หนังสือเสียง โดยกำหนดเวลา sit time ของเด็กในวัย 18-24 เดือน อยู่ที่ 5 ndash; 10 นาที และค่อยเพิ่มขึ้นเป็นลำดับตามอายุของลูกที่เพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายให้ลูกสามารถฟังได้ถึง 30 นาทีอย่างจดจ่อเมื่อลูกอายุครบ 2 ขวบ เป็นต้น
ฝึกฝนการมีมารยาทเป็นผู้ฟังที่ดี เป็นหลักการสำคัญในการสอนให้ลูกเรียนรู้ที่จะให้เกียรติผู้พูด ซึ่งเป็นการฝึกฝนให้ลูกไม่เป็นคนที่เย่อหยิ่งหรือเอาตนเองเป็นศูนย์กลางคิดว่าความคิดของตนดีกว่าจนไม่ยอมรับฟังผู้ใด จนเป็นเหตุให้ลูกปิดกั้นการเรียนรู้จากแหล่งต่าง ๆ ไปอย่างน่าเสียดาย รวมทั้งเป็นการสร้างสัมพันธ์อันดีต่อทั้งผู้พูดและผู้ฟัง ทำให้การสนทนานั้นเป็นไปอย่างสร้างสรรค์และจบลงด้วยดี

ในภาคปฏิบัตินั้น พ่อแม่ควรสอนให้ลูกเรียนรู้จักการมีมารยาทในการฟังด้วยการ

...สอนให้ลูกสบตาผู้พูดเสมอไม่เดินไปเดินมา ลุกนั่งหรือย้ายที่นั่งไปมา วิ่งเล่นไปมาในขณะที่กำลังฟังผู้อื่นพูดกับตน พ่อแม่ควรปิดทีวีหรือให้ลูกหยุดเล่นเกมเพื่อให้ลูกหันมาตั้งใจฟังในสิ่งที่ตนพูด

...สอนให้ลูกไม่พูดขัดจังหวะหรือพูดแทรกในขณะที่อีกฝ่ายยังพูดไม่เสร็จโดยหากต้องการถามอะไรให้จำหรือจดประเด็นเอาไว้ก่อน หรือหากกลัวลืมจริง ๆ ให้ยกมือขึ้นและกล่าวขออนุญาตถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ สอนให้ลูกรู้จักจังหวะของการ พูด/ฟัง ถาม/ตอบ ในการสื่อสาร

...สอนให้ลูกรู้จักเลือกฟังในสิ่งที่สร้างสรรค์เป็นประโยชน์ ไม่ฟังคนอื่นนินทากัน หรือพูดจาลามกหยาบโลนโดยให้ขออนุญาตหรือเดินหลบออกมาอย่างสุภาพ

ฝึกฝนลูกให้ฟังอย่างกระตือรือร้น
ไม่เพียงแต่มีมารยาทในการเป็นผู้ฟังที่ดีด้วยท่าทีตั้งใจฟังอย่างจดจ่อ แต่การเป็นผู้ฟังที่มีประสิทธิภาพนั้นต้องมีลักษะแห่งความกระตือรือร้นอยู่ด้วย หรือที่เรียกว่า Active Listeningไม่ใช่แต่แสดงท่าทางภายนอกว่ากำลังฟังอยู่ แต่ในสมองต้องมีการทำงานถกเถียงและคิดไปด้วยอยู่ตลอดเวลา จะฟังแบบใจลอยคิดถึงเรื่องอื่นไม่ได้

โดยในภาคปฏิบัติ พ่อแม่ควรสอนให้ลูกตอบสนองในการฟังทุกครั้ง เช่น เมื่อพ่อหรือแม่เรียกให้ลูกขานรับทันทีว่า ldquo;ผมกำลังมาครับrdquo; หรือเวลาพ่อแม่สอนอะไรให้ลูกแสดงท่าทีตั้งใจฟังและตอบรับ ldquo;ครับ/ค่ะ คุณพ่อ คุณแม่rdquo; เป็นต้น เพื่อรู้ว่าลูกกำลังฟังเราอยู่ รวมทั้งกระตุ้นให้ลูกตั้งคำถามย้อนกลับมาทุกครั้งหลังจากที่พ่อแม่พูดคุยสนทนากับลูกเสร็จหรือพูดทวนสิ่งที่ได้ยินมาซ้ำอีกครั้งเพื่อเป็นการย้ำว่าสิ่งที่ลูกเข้าใจนั้นตรงกันกับสิ่งที่พ่อแม่พูดออกไปหรือไม่ เป็นต้น

ฝึกฝนการจับประเด็นด้วยการตั้งคำถาม
ความสามารถในการจับประเด็นเป็นตัวชี้ว่าการสื่อสารที่เกิดขึ้นนั้นเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ ผู้ส่งสารสามารถบรรลุเป้าหมายในการสื่อสารที่ต้องการไปยังผู้รับสารหรือไม่ ในภาคปฏิบัติหลังจากจบการพูดคุยกันแล้วทุกครั้งพ่อแม่ควรตั้งคำถามทวนซ้ำกับลูกเพื่อทดสอบว่าลูกสามารถจับประเด็นในเนื้อหาที่เพิ่งฟังไปได้หรือไม่ ตัวอย่างคำถามเช่น ในรูปแบบของ ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร เมื่อไร เวลาใด และลูกจะต้องทำอะไรต่อไป เป็นต้นรวมทั้งสามารถตั้งคำถามเพื่อให้ลูกได้คิดต่อยอด เช่น ถามความคิดเห็นของลูกเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ฟังldquo;ลูกคิดว่าเรื่องนี้ใครผิด?rdquo; ... ldquo;ลูกคิดว่าจะสามารถแก้ปัญหานี้ได้อย่างไร?rdquo; อันก่อให้เกิดประโยชน์ในการฝึกฝนทักษะการคิดให้กับลูกได้ในอีกทาง รวมทั้งพ่อแม่สามารถรู้จักลูกของตนเพิ่มขึ้นผ่านทางแนวคำตอบที่ได้รับด้วยเช่นกัน

ฝึกฝนทักษะการฟังในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
เมื่อลูกโตขึ้นพ่อแม่สามารถฝึกฝนทักษะการฟังให้กับลูกโดยใช้สถานการณ์จริงต่าง ๆ ที่ทำให้การฟังเป็นไปอย่างยากลำบาก เช่น ในสถานที่ที่มีสิ่งเร้าหรือสิ่งรบกวนภายนอก ตามสถานที่สาธารณะต่าง ๆ ห้างสรรพสินค้า สวนสนุก ฯลฯ ที่อาจมีเสียงดังรบกวนหรือมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าคอยดึงดูดลูกให้ประสิทธิภาพในการฟังลดลง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการพัฒนาทักษะด้านการฟังในสถานการณ์ที่ยากลำบากทุกรูปแบบที่ลูกไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อเติบโตขึ้น ไม่ว่าจะเป็นที่โรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือที่ทำงาน อาทิฟังครูสอนให้รู้เรื่องและเข้าใจในขณะที่เพื่อนข้าง ๆ ส่งเสียงดังรบกวน ฟังอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยในห้องเรียนรวมใหญ่ที่มีเสียงดังรบกวนฟังคำอธิบายงานจากหัวหน้าในขณะที่ทั้งห้องทำงานเต็มไปด้วยเสียงดังในการติดต่องาน เป็นต้น

นอกจากนี้ พ่อแม่ควรตระหนักว่าลูกแต่ละคนนั้นจะมีทักษะในด้านการฟังที่แตกต่างกันไป ดังนั้นพ่อแม่จึงไม่ควรสร้างแรงกดดันเปรียบเทียบลูกแต่ละคนในเรื่องนี้ แต่ควรค่อย ๆ ฝึกฝนและพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งต้องเรียนรู้จักลูกให้มากขึ้นว่าลูกแต่ละคนจะต้องใช้วิธีการสื่อสารแบบใด เช่นลูกคนโตไม่ต้องพูดซ้ำ ลูกคนเล็กต้องพูดย้ำแล้วย้ำอีกและให้เขาอธิบายทวนซ้ำว่าเข้าใจจริงหรือไม่

ทั้งนี้พ่อแม่ควรยึดหลักสำคัญคือพูดให้ชัดเจนที่สุด และอธิบายให้มากที่สุด เพื่อให้การสื่อสารที่ออกไปนั้นเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

การพัฒนาทักษะการฟังนั้นเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ ฝึกฝน เป็นทักษะควรฝึกฝนตั้งแต่วัยเยาว์ สร้างให้เป็นนิสัย การพยายามปรับเปลี่ยนเมื่อเป็นผู้ใหญ่แล้วเป็นเรื่องที่ยากกว่าและต้องใช้เวลาในการฝึกฝน การที่พ่อแม่ฝึกฝนทักษะด้านการฟังให้กับลูกตั้งแต่เขายังเป็นเด็กนั้น นอกจากจะเป็นประโยชน์กับตัวลูกเองแล้วยังเป็นประโยชน์ต่อพ่อแม่ด้วยเช่นกันในการฝึกฝนและพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ฟังที่ดีต่อไป
admin
เผยแพร่: 
แม่และเด็ก
เมื่อ: 
2007-09-01