แปลง VAT ให้เป็นเงินออมของคนจน (2): การดำเนินนโยบาย

ที่มาของภาพ lt;http://www.educatednation.com/2008/04/17/529-college-savings-plans/gt;
สัปดาห์ที่แล้ว ผมได้เขียนถึงหลักการและเหตุผลของการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ให้คนจน ในบทความนี้ ผมจะลงรายละเอียดถึงแนวคิดภาคปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารนโยบาย และการออกแบบกฎระเบียบของการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม และประเด็นที่ต้องพิจารณาในการใช้นโยบายนี้
ด้วยเหตุที่นโยบายนี้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นสวัสดิการให้แก่คนจนโดยเฉพาะในยามชรา ผมจึงเห็นว่าการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้เป็นเงินออมของคนจนควรเป็นส่วนหนึ่งของระบบประกันสังคม และเชื่อมกับระบบหลักประกันรูปแบบอื่นได้ รวมทั้งระบบ negative tax ที่ผมเคยได้เขียนเสนอไปแล้วด้วย
การออกแบบหลักการคำนวณเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม เป็นเรื่องสำคัญมากต่อการป้องกันการโกงระบบและการสร้างความยุติธรรม โดยผมเสนอว่ามูลค่าเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มควรมีเพดานอยู่ที่ระดับหนึ่ง และมูลค่าเงินคืนภาษีควรลดลงเรื่อย ๆ ตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น จนกระทั่งเป็นศูนย์เมื่อรายได้มากถึงระดับหนึ่ง
เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจและเห็นภาพอย่างเป็นรูปธรรม ผมจึงขอสมมติตัวเลขเพื่อแสดงวิธีการคำนวณเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งแน่นอนว่าจะยังไม่ใช่ตัวเลขที่พร้อมนำไปปฏิบัติจริง เพราะการกำหนดอัตราเงินคืนภาษีนั้น ต้องการการวิจัยเพื่อวิเคราะห์ผลกระทบทั้งต่อผู้รับประโยชน์และฐานะการคลัง
สมมติว่าเราต้องการคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้กับผู้มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน และจะคืนภาษีให้ลดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งเป็นศูนย์เมื่อรายได้ถึงระดับค่าจ้างขั้นต่ำ โดยการยึดค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเกณฑ์นี้เป็นเพียงการยกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย มิได้หมายความว่าผู้ที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำถือว่าไม่มีปัญหาแล้ว
ปัจจุบันเส้นความยากจนอย่างเป็นทางการในเขตกรุงเทพมหานครอยู่ที่ 1,386 บาทต่อเดือน แต่ผมจะขอใช้เส้นความยากจนปรับปรุงใหม่ (ยังมิได้ใช้เป็นทางการ) ซึ่งอยู่ที่ 1,703 บาทต่อเดือน หรือ 20,436 บาทต่อปี ส่วนอัตราค่าจ้างขั้นต่ำในเขตกรุงเทพฯนั้นอยู่ที่ 194 บาทต่อวัน สมมติว่าแรงงานทำงานเฉลี่ย 25 วันต่อเดือน ผู้ที่ได้รับค่าจ้างที่ระดับค่าจ้างขั้นต่ำจะมีรายได้ 58,200 บาทต่อปี
หากเราประมาณการขั้นสูงสุด โดยสมมติว่าคนยากจนจะนำรายได้ทั้งหมดของตนไปซื้อสินค้าที่บวกภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามข้อสมมตินี้ เพดานของมูลค่าเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มควรอยู่ที่ร้อยละ 7 ของเส้นความยากจน หรือประมาณ 1,430 บาทต่อปี ดังนั้นผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจน จะได้รับเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มตามเพดานสูงสุด 1,430 บาทต่อปี หรืออยู่ในระยะ Plateau (ตารางที่ 1)
สำหรับผู้ที่มีรายได้ 20,436 บาทต่อปีขึ้นไป แต่ไม่สูงกว่าค่าจ้างขึ้นต่ำ คือ 58,200 บาทต่อปี เงินคืนภาษีจะเข้าสู่ระยะที่เรียกว่า Phrase out ซึ่งมูลค่าของเงินคืนภาษีจะลดลงเรื่อย ๆ ตามระดับรายได้ที่สูงขึ้น ส่วนผู้ที่มีรายได้สูงกว่า 58,200 บาทต่อปีขึ้นไปจะไม่ได้รับเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม
ตารางที่ 1 ตัวอย่างการคำนวณมูลค่าเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ระดับรายได้ต่างๆ
รายได้ต่อปี (บาท) | ระยะ (phrase) | มูลค่าเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (บาทต่อปี) |
น้อยกว่า 20,436 | Plateau | 1,430 |
20,436 - 58,200 | Phrase out | 0 ถึง 1,430 |
มากกว่า 58,200 | No refund | 0 |
การกำหนดเพดานเงินคืนภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 ของมูลค่าการใช้จ่ายของคนจนมีจุดมุ่งหมายประการหนึ่งคือเพื่อมิให้เป็นภาระด้านการคลังมากเกินไป และอีกประการหนึ่งซึ่งสำคัญมากคือเพื่อป้องกันการโกงระบบ แม้ว่าในการดำเนินการจริง ผู้ที่ขอคืนภาษีอาจต้องมีหลักฐานใบเสร็จรับเงินเพื่อยืนยันว่าได้จ่ายภาษีไปแล้ว แต่หากมีการป้องกันเพียงเท่านี้ระบบยังอาจถูกโกงได้ เช่น การนำใบเสร็จของผู้อื่นมาขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือการที่คนรวยซื้อสินค้าแล้วลงใบเสร็จในชื่อคนจนที่ตนรู้จักเพื่อขอคืนภาษี เป็นต้น
ส่วนการกำหนดให้มูลค่าเงินคืนภาษีลดลงตามรายได้ที่เพิ่มขึ้น หรือระยะ Phrase out นั้น เป็นไปเพื่อความยุติธรรม เพราะผู้ที่มีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจนแต่ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นกลุ่มที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจเช่นกัน ดังนั้นหากเรากำหนดว่า ผู้ที่มีรายได้ต่อปีเกิน 20,436 บาทแม้เพียง 1 บาท จะไม่ได้รับเงินคืนภาษีเลย จะเป็นการไม่เป็นการยุติธรรมต่อคนกลุ่มนี้
ทั้งนี้จากสถิติผู้ประกันตนของสำนักงานประกันสังคมในปี 2549 ระบุว่า ผู้ประกันตนที่มีรายได้ต่ำกว่าเส้นความยากจนมีอยู่ประมาณสองแสนห้าหมื่นคน และมีผู้ประกันตนที่มีรายได้สูงกว่าเส้นความยากจนแต่ต่ำกว่าระดับค่าจ้างขั้นต่ำ (ในเขต กทม.) ประมาณสามล้านกว่าคน คนเหล่านี้จะได้รับประโยชน์ทันทีหากนโยบายนี้ประกาศใช้ตามเกณฑ์ที่ได้ยกตัวอย่างข้างต้น นอกจากนี้นโยบายนี้ยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อจูงใจให้แรงงานนอกระบบจำนวนมากที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำปรารถนาเข้าระบบด้วย
ประเด็นที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือเรื่องของบัญชี หากการคืนภาษีนี้มุ่งเพื่อการออมระยะยาวแล้ว เงินคืนภาษีอาจจะถูกโอนเข้าไปรวมกับเงินออมชราภาพที่มีอยู่ในกองทุนประกันสังคมอยู่แล้ว หรืออีกกรณีหนึ่งสำนักงานประกันสังคมอาจจะเปิดบัญชีพิเศษให้กับผู้ประกันตน โดยกระทรวงการคลังจะเป็นผู้โอนเงินคืนภาษีเข้าสู่บัญชีของผู้ประกันตนแต่ละคนตามหลักฐานใบเสร็จที่ยื่นขอคืนภาษีไว้
และเพื่อให้เงินคืนภาษีนี้เป็นเงินออมเพื่อใช้จ่ายหลังเกษียณ บัญชีพิเศษนี้จะต้องมีลักษณะอย่างแรกคือ ต้องมีเงื่อนไขการเบิกที่เข้มงวด เช่น สามารถเบิกได้เฉพาะกรณีที่ผู้ประกันตนมีอายุถึง 60 ปี หรือเพื่อรับการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐซึ่งไม่อยู่ในการคุ้มครองของโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า เป็นต้น อีกลักษณะที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การบริหารบัญชีนี้จะต้องให้ผลตอบแทนที่เอาชนะอัตราเงินเฟ้อได้ มิฉะนั้นเงินคืนภาษีนี้จะมีมูลค่าที่แท้จริงลดลงจนอาจไม่มีความหมายในอนาคต
อย่างไรก็ตาม การใช้นโยบายคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้คนจนนั้นยังมีหลายประเด็นที่ต้องพิจารณา
ประเด็นแรกคือ สินค้าบาป เช่นเหล้าและบุหรี่ ไม่ควรคืนภาษีมูลค่าเพิ่มให้ เพื่อไม่ส่งเสริมการมอมเมาประชาชน
ประเด็นต่อมาที่สำคัญมากคือ ต้นทุนการบริหาร หากการคืนภาษีให้กับคนจนนับล้านมีต้นทุนการบริหารสูงมาก อาจจำเป็นต้องพิจารณาหาวิธีการบริหารให้ต้นทุนไม่สูงมากเกินไป
และสุดท้ายประเด็นที่สำคัญและเป็นปัญหามากที่สุดคือ แรงงานนอกระบบ ซึ่งคนจนส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำคนเหล่านี้มาเข้าระบบให้ได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดและยังไม่มีใครสามารถตอบได้คือ เราจะสามารถทราบรายได้ที่ถูกต้องของคนกลุ่มนี้ได้อย่างไร? หากเราใช้วิธีการให้เขาแจ้งรายได้ของตัวเองแล้ว จะทำอย่างไรให้เขารายงานรายได้ให้ตรงกับความจริง? หรือมีวิธีอื่นอีกหรือไม่? เหล่านี้เป็นเรื่องที่เราต้องคิดกันต่อไปเพื่อให้คนจนตัวจริงเป็นผู้ได้รับประโยชน์สูงสุดจากนโยบายนี้
* นำมาจากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่ 11 มิถุนายน 2551
Tags:
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2008-06-12