ทุจริตสอบเข้ามหาวิทยาลัย

การสอบโอเน็ตประจำปีการศึกษา 2551 ระหว่างวันที่ 29 กุมพาพันธ์ - 1 มีนาคม พ.ศ. 2551 และการสอบเอเน็ต ระหว่างวันที่ 8-9 มีนาคม 2551 พบการทุจริตทั้งหมด 9 ราย
การสอบโอเน็ตพบทุจริตทั้งหมด 7 ราย ที่ศูนย์สอบจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 6 ราย และศูนย์สอบมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จังหวัดสงขลา 1 ราย แบ่งเป็น 4 กรณี กรณีแรก นักเรียน 2 คน เขียนคำตอบใส่ยางลบแลกในห้องน้ำ กรณีที่ 2 นักเรียนคนแรกทำข้อสอบเสร็จก่อนแล้วส่งคำตอบให้คนที่สองผ่านโทรศัพท์มือถือที่วางไว้ระหว่างขา กรณีที่ 3 นักเรียนเปิดโทรศัพท์มือถือไว้แล้วมีคนโทรเข้ามา และกรณีที่ 4 นักเรียนใช้โทรศัพท์มือถือรุ่นออกแบบเหมือนนาฬิกาข้อมือรอรับข้อความที่ส่งเข้ามา
การสอบเอเน็ตพบการทุจริตสอบการเอเน็ต 2 ราย รายแรกที่สนามสอบโรงเรียนหอวัง รายที่ 2 ที่สนามสอบมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ โดยทั้ง 2 รายนี้เกี่ยวข้องกัน รายแรกพกโทรศัพท์มือถือ 2 เครื่องเข้าห้องสอบ เครื่องแรกปิดและวางไว้ใต้เก้าอี้ตามระเบียบ แต่เรื่องที่ 2 ซุกไว้ที่ตัว เพื่อรอรับข้อความจากรายที่ 2 ซึ่งสอบเสร็จก่อน
การทุจริตการสอบโอเน็ตเอเน็ต เหมือนเป็นการย้อนไปสู่ยุคที่ยังใช้ระบบการคัดเลือกแบบเดิม แต่แม้ว่าจะมีจัดสอบด้วยระบบเดิมหรือระบบใหม่ หากมีเรื่องของการแข่งขันเข้ามาเกี่ยวข้อง ย่อมมีการทุจริตเกิดขึ้นตามมาด้วยเสมอ เพราะคนในสังคมยังมีความเชื่อที่ว่า การได้รับเลือกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยหมายถึงการมีอนาคตที่สดใส จึงมีนักเรียนบางคนเลือกวิธีทุจริตเพื่อให้ได้รับการคัดเลือก
กรณีการการสอบเข้ามหาวิทยาลัยในต่างประเทศพบว่า มีการทุจริตเช่นเดียวกัน โดยลักษณะของการทุจริตคล้ายคลึงกับที่เกิดขึ้นในประเทศไทย
ประเทศเวียดนาม นักเรียนมัธยมปลายในเวียดนามจริงจังกับการสอบเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยอย่างมาก ซึ่งเกิดจากความคาดหวังว่า ในอนาคตจะมีงานที่ดีเพื่อยกฐานะครอบครัว ขณะที่การศึกษาระดับอุดมศึกษาในเวียดนาม ขยายตัวไม่ทันต่อความต้องการของนักเรียน ดังจะเห็นได้จากการสอบเข้ามหาวิทยาลัยเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 มีนักเรียนเข้าสอบถึง 1.8 ล้านคน แต่มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ รับได้เพียง 3 แสนคน ดังนั้น นักเรียนเวียดนามจึงต้องทำทุกวิธีทางเพื่อให้ได้รับการคัดเลือก มีทั้งวิธีที่สุจริตและทุจริต เช่น ก่อนการสอบไม่กี่วันจะมีนักเรียนจำนวนมาก เข้าไปพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธ์ที่วัดเก่าแก่อายุกว่า 940 ปีในกรุงฮานอย วัดแห่งนี้จะอบอวนไปด้วยกลิ่นธูปเทียนที่นักเรียนนำมาไหว้พระ บ้างก็เชื่อว่าหากได้กินอาหารบางชนิดจะโชคดีในการสอบ เช่น กินถั่วเขียว (green beans) เพราะคำว่า ldquo;beansrdquo; ในภาษาเวียดนามแปลว่า ldquo;ผ่านrdquo;
อย่างไรก็ตาม มีนักเรียนจำนวนหนึ่งใช้วิธีทุจริต เช่น การสอบเมื่อปลายปี พ.ศ. 2549 ได้มีการจับกุมนักเรียนจำนวน 24 คน โทษฐานนำบลูทูธ (Bluetooth) ซ่อนไว้ในผมปลอมเข้าไปในห้องสอบ และการสอบเมื่อต้นเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2550 ตำรวจได้จับกุมนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคน เพราะเข้าไปนั่งสอบแทนนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่ง นักศึกษาเหล่านี้ได้รับค่าจ้างสำหรับการทุจริตเป็นเงิน 2,500 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นจำนวนที่มากกว่า 2 เท่าของค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยต่อปีของชาวเวียดนาม การทุจริตที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง ส่งผลให้กระทรวงศึกษาธิการของเวียดนาม เพิ่มความเข้มงวดในการจัดสอบมากขึ้น เช่น จัดเก็บข้อสอบไว้ที่ลับเฉพาะ แยกผู้ทำข้อสอบไปยังในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้เห็น และจัดเจ้าหน้าที่คุมสอบอยู่ประจำจุดสอบ เพื่อตรวจสอบและป้องกันการทุจริต เป็นต้น
ประเทศเกาหลีใต้ เกิดการตั้งคำถามถึงความโปร่งใสของระบบแอดมิสชั่นส์ เนื่องจากนางชอย ยอน-ฮี (Choi Yun-hee) ภรรยาของอธิการบดีมหาวิทยาลัยยอนเซ(Yonsei University) นาย จุง ชัง-ยอง (Jung Chang-Young) ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนจากครอบครัวของนักเรียน ที่ต้องการเข้าเรียนคณะทันตแพทย์ในมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่ง เป็นจำนวนเงิน 200 ล้านวอน หรือประมาณ 220,000 ดอลลาร์สหรัฐ นายจุง ชัง-ยอง ทนแรงกดดันจากสังคมไมไหวจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งอธิการบดีมหาวิทยาลัยยอนเซ เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2550 แม้ว่ามหาวิทยาลัยเอกชนดังกล่าวจะได้ออกมากล่าวว่า เป็นเรื่องส่วนบุคคลไม่เกี่ยวกับมหาวิทยาลัย และนายจุง ชัง-ยองออกมายืนยันว่า ภรรยาของตนยืมเงินจำนวนนี้มาเพื่อช่วยลูกชายของเพื่อนที่ธุรกิจล้มละลาย แต่เมื่อเธอได้รู้ว่าเงินนั้นมาจากครอบครัวของเด็กที่ต้องการเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยดังกล่าว จึงได้รีบคืนไปก่อนการประกาศผลสอบแอดมิสชั่นส์ แม้เพียงแค่ 1 วันก็ตาม อัยการสูงสุดในเกาหลีใต้ได้ดำเนินการสืบส่วนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ว่านางชอย ยอน-ฮี รับสินบนจริงหรือไม่ ถ้ารับจริงทำเพียงคนเดียวหรือทำเป็นขบวนการ
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้คนเกาหลีเกิดความกังขาในความโปร่งใสของระบบแอดมิสชั่นส์ เพราะระบบแอดมิสชั่นส์ที่กำหนดขึ้นไม่มีความชัดเจนมากนัก มีความเป็นไปได้ที่จะมีการให้สินบนเพื่อจะได้รับคัดเลือก ประกอบกับค่านิยมของคนเกาหลี มักจะให้การยอมรับผู้ที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย จึงทำให้คนเกาหลีที่กังวลเกี่ยวการยอมรับทางสังคม ยอมใช้วิธีที่ทุจริตเพื่อให้ได้มาซึ่งวุฒิการศึกษาระดับปริญญา ซึ่งก่อนหน้านี้ เกิดปัญหาการปลอมวุฒิการศึกษาระดับปริญญา อันเป็นผลมาจากค่านิยมดังกล่าวเช่นกัน
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า มีหลายองค์ประกอบที่เกี่ยวข้องให้เกิดการทุจริตในการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และนับวันการทุจริตสอบเข้ามหาวิทยาลัยไทย มีแนวโน้มจะมีความซับซ้อนมากขึ้น และยิ่งมีการนำเทคโนโลยีด้านการติดต่อสื่อสารต่าง ๆ เข้ามาใช้ในการทุจริต ยิ่งทำให้การจับทุจริตเป็นไปได้ยากขึ้น
อย่างไรก็ตาม หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้มีความพยายามที่จะควบคุมการทุจริตอย่างเต็มที่ แต่ไม่สามารถควบคุมการทุจริตได้ทั้งหมด คงต้องอาศัยการปลูกฝังวิธีคิดที่ถูกต้อง โดยพ่อแม่ผู้ปกครองไม่เพียงสอนนักเรียนนักศึกษาให้เข้าใจถึงเป้าหมายการศึกษาที่นำพาไปสู่ความสำเร็จที่แท้จริงเท่านั้น ยังต้องให้ความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องการแข่งขันด้วย รวมถึงให้กำลังใจและไม่กดดันบุตรหลานจนเกินไป เพื่อไม่ให้บุตรหลานหาทางออกโดยการทุจริตเพียงเพื่อไม่ต้องการให้พ่อแม่ผู้ปกครองเสียใจ
admin
เผยแพร่: 
การศึกษาวันนี้
เมื่อ: 
2008-04-03