การประสานนโยบายเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ

ราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกประเทศทั่วโลกต่างเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจมหภาคแบบ ldquo;หนีเสือปะจระเข้rdquo; กล่าวคือ ปัญหาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง ในขณะเดียวกันยังเผชิญกับปัญหา ldquo;ข้าวยากหมากแพงrdquo; หรือที่นักเศรษฐศาสตร์เรียกว่าปัญหาเงินเฟ้อ
แม้ว่าปัญหาทั้งสองประการนี้ยังมิได้รุนแรงจนถึงขั้นวิกฤติ แต่ได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์และเหล่าผู้วางแผนนโยบายต้องปวดเศียรเวียนเกล้า ไม่สามารถหาข้อยุติทางนโยบายได้ เนื่องจากการเลือกใช้นโยบายการเงินหรือการคลังเพื่อแก้ปัญหาใดปัญหาหนึ่ง จะกลับซ้ำเติมอีกปัญหาหนึ่งให้รุนแรงขึ้น
ทุกครั้งที่มีปัญหาข้าวยากหมากแพง สังคมมักจะเรียกร้องให้กระทรวงพาณิชย์ดำเนินมาตรการเพื่อลดราคาสินค้าลงมาให้ได้อยู่เสมอ แต่ผมกลับมีความเห็นที่ต่างออกไปว่า งานนี้ไม่ใช่งานของกระทรวงพาณิชย์เพียงกระทรวงเดียว ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวงพาณิชย์ไม่ควรเป็นหัวหอกในการแก้ปัญหาเสียด้วยซ้ำ
ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มหภาคกล่าวว่า เงินเฟ้อที่มีสาเหตุจากปริมาณเงินหรืออุปสงค์มวลรวมที่มากเกินไป หน่วยงานที่จะสามารถแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อจากสาเหตุนี้ ควรเป็นธนาคารแห่งประเทศไทยหรือกระทรวงการคลัง แต่หากสาเหตุคือราคาน้ำมันที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของเงินเฟ้อในเวลาช่วงนี้ กระทรวงพลังงานควรเป็นกระทรวงหลักที่เข้ามาจัดการปัญหาเงินเฟ้อ เพราะมีเครื่องมือในการจัดการกับราคาน้ำมัน
แต่ในทางปฏิบัติ กระทรวงการคลังและกระทรวงพลังงานมิได้มีภาระผูกพันที่จะต้องแก้ปัญหานี้ ขณะที่กระทรวงพาณิชย์ ผู้มีหน้าที่ดูแลเรื่องราคาสินค้า กลับขาดเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ เจ้ากระทรวงจึงจำเป็นต้อง ldquo;ทำอะไรสักอย่างrdquo; ภายใต้เครื่องมือที่มีอยู่ เพื่อลดความกดดันจากกระแสสังคม
สิ่งที่น่ากลัว คือ ldquo;การทำอะไรสักอย่างrdquo; อาจไม่ใช่ ldquo;การทำสิ่งที่ดีที่สุดrdquo; เนื่องจากกระทรวงพาณิชย์ไม่มีเครื่องมือให้ใช้มากนัก กระทรวงพาณิชย์ทุกยุคทุกสมัยจึงต้องใช้มาตรการควบคุมราคาสินค้า แม้ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นมาตรการที่ไม่มีประสิทธิผล
การควบคุมราคามีหลายแนวทาง การขอความร่วมมือจากผู้ผลิตให้ลดราคาสินค้าอาจไม่ได้ผลมากนัก เพราะขัดกับเป้าหมายทำกำไรสูงสุดของธุรกิจ ส่วนการบังคับให้ลดราคา ซึ่ง ldquo;บิดเบือนกลไกตลาดrdquo; ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าลดลงจนไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ทำให้เกิด ldquo;ตลาดมืดrdquo; ซึ่งเป็นภาวะที่สินค้าขาดตลาด ผู้บริโภคหาซื้อสินค้าตามราคาควบคุมไม่ได้ จึงต้องซื้อสินค้าในราคาสูงกว่าราคาควบคุม
ด้วยเหตุนี้การประสานนโยบาย (Policy coordination) จึงจำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้การแก้ปัญหาเงินเฟ้อมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะกระทรวงอื่นมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากกว่าในการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และการร่วมมือกันจะทำให้นโยบายของแต่ละกระทรวงมีความสอดคล้องกัน
ความจริงแล้ว การประสานนโยบายเศรษฐกิจมหภาคไม่ใช่เรื่องใหม่ แนวคิดนี้ถูกริเริ่มโดย ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดยการตั้งสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ที่มีจุดประสงค์ดั้งเดิมให้เป็นหน่วยงานที่จะประสานนโยบายเศรษฐกิจมหภาคระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งมีเป้าหมายทางเศรษฐกิจต่างกัน แต่น่าเสียดายว่า ผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจมหภาคหลังยุคของ ดร.ป๋วย มิได้ใส่ใจในประเด็นนี้มากนัก
ในบทความนี้ ผมจะเสนอตัวอย่างของการประสานงานนโยบายเพื่อการแก้ปัญหาเงินเฟ้อ โดยใช้เครื่องมือของกระทรวงการคลัง ซึ่งดูจะมีความเป็นไปได้ในเชิงปฏิบัติมากที่สุด เพราะเป็นกระทรวงเศรษฐกิจที่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพหลายตัว
เครื่องมือตัวแรกของกระทรวงการคลัง คือภาษีศุลกากร ซึ่งมีบทบาทในการรักษาช่องว่างระหว่างราคาในประเทศและต่างประเทศให้คงอยู่ได้ ในกรณีที่สินค้าในประเทศมีราคาแพง การลดภาษีศุลกากรจะทำให้ราคาสินค้านำเข้าถูกลง เป็นผลทำให้ผู้ผลิตในประเทศต้องลดราคาสินค้าของตนลงมาด้วย และในกรณีที่สินค้าที่ลดภาษีศุลกากรนั้น เป็นวัตถุดิบหรือส่วนประกอบของสินค้าอีกชนิดหนึ่ง การลดภาษีศุลกากรจะช่วยลดต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งเป็นผลทำให้ราคาสินค้าลดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม การลดภาษีศุลกากรต้องคิดให้ถ้วนถี่ เพราะจะกระทบการกระจายประโยชน์ระหว่างกลุ่มคนต่าง ๆ ยกตัวอย่างการลดภาษีกากถั่วเหลือง ผู้ที่ได้ประโยชน์คือผู้เลี้ยงหมูที่มีต้นทุนลดลง ส่วนผู้ที่เสียประโยชน์ คือผู้ผลิตน้ำมันซึ่งต้องขายกากถั่วเหลืองในราคาต่ำลงตามราคานำเข้า ส่วนผู้บริโภคอาจได้ประโยชน์จากราคาหมูที่ลดลง แต่อาจเสียประโยชน์หากผู้ผลิตน้ำมันพืชหันมาเอากำไรจากการขึ้นราคาน้ำมันพืช เพื่อชดเชยกับผลประโยชน์ที่เสียไปจากราคากากถั่วเหลืองที่ลดลง รวมทั้งประชาชนทั้งหมดจะเสียผลประโยชน์จากการที่รัฐบาลเก็บภาษีได้ลดลง
อีกมาตรการหนึ่งที่สามารถบรรเทาผลกระทบของปัญหาเงินเฟ้อได้ คือมาตรการ Negative tax ที่ผมได้กล่าวถึงในบทความเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้านี้ เพราะนอกจากจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจแล้ว Negative tax ยังสามารถช่วยเหลือคนจนให้มีกำลังซื้อมากขึ้นในยามข้าวยากหมากแพง โดยรัฐบาลอาจพิจารณาเพิ่มเงินคืนภาษี (tax refund) แก่คนที่มีรายได้ต่ำเพื่อช่วยให้เขาสามารถใช้จ่ายเพื่อความอยู่รอดได้
จริงอยู่ว่าการเพิ่มเงินในมือประชาชนเป็นการเพิ่มอุปสงค์มวลรวม ซึ่งจะทำให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่หากกระทรวงการคลังมีการบริหารนโยบายที่ดี อาจไม่ทำให้ปัญหาเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากเงินคืนภาษีควรจะจ่ายให้เฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำและมีภาระค่าใช้จ่ายสูง มิได้ให้กับทุกคน และจำนวนเงินที่ให้ประชาชนไม่ควรสูงเท่ากับภาระที่เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพื่อให้ประชาชนช่วยเหลือตัวเองด้วยส่วนหนึ่ง ซึ่งจะทำให้อุปสงค์มวลรวมไม่ได้สูงขึ้นมากจนกระทั่งทำให้ปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงขึ้นอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ การคืนภาษีควรกระทำเมื่อมีความเดือดร้อนหนักเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นประจำ ซึ่งอาจทำให้ผู้ผลิตไม่ปรับขึ้นราคาสินค้า เพราะคาดการณ์ว่ารายได้ในระยะยาวของผู้บริโภคยังไม่เพิ่มขึ้น ผมจึงเห็นว่าการคืนภาษีเพื่อเพิ่มเงินให้แก่คนจน น่าจะมีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากกว่าการควบคุมราคา
ไม่เพียงแต่การแก้ปัญหาเงินเฟ้อเท่านั้น แต่รัฐบาลควรมีการประสานนโยบายเศรษฐกิจมหภาคเพื่อดูแลเป้าหมายทางเศรษฐกิจอื่น ๆ ด้วย ผมปรารถนาจะเห็นหน่วยงานทางเศรษฐกิจมหภาคทั้งหมดมีการตกลงว่าภาพเศรษฐกิจไทยนั้นควรจะเป็นอย่างไร และร่วมรับผิดชอบเป้าหมายต่าง ๆ ร่วมกัน โดยกำหนดนโยบายที่สอดประสานกันมากขึ้น
* นำมาจากหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันพฤหัสบดีที่27 มีนาคม 2551
Tags:
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2008-03-27