ภาวะสมองไหลวิกฤตการณ์ระดับโลก

* ที่มาของรูป - http://stan.uio.no/blog/flexlearn/2007/01/fighting_brain_drain_in_africa_1.html
ปัจจุบันหลายประเทศต่างประสบปัญหาภาวะสมองไหลที่คนเก่งไปทำงานต่างประเทศ ส่งผลเสียต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและองค์ความรู้ที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศอย่างยิ่ง ดังตัวอย่างอิสราเอลที่ในปัจจุบันบรรดาอาจารย์และนักวิชาการ ต่างมุ่งหน้าไปทำงานยังต่างประเทศเนื่องด้วยค่าตอบแทนสูงกว่า และมีความมั่นคงและปลอดภัยในชีวิตมากกว่า
การศึกษาของ ดร.แดน เบน เดวิด (Dr.Dan Ben-David) อาจารย์ภาควิชานโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยเทลอาวีฟ (Tel Aviv University) พบว่า มีอาจารย์และนักวิชาการชาวอิสราเอลกว่าร้อยละ 25 ทำงานเต็มเวลาในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐอเมริกา การสูญเสียครั้งนี้ มิได้เป็นเพียงการสูญเสียเชิงปริมาณเท่านั้น แต่ยังเป็นการสูญเสียเชิงคุณภาพของประเทศที่มิอาจประมาณค่าได้ สาเหตุหลักมาจาก อาจารย์และนักวิชาการในมหาวิทยาลัยได้รับเงินเดือนน้อย รัฐบาลให้เงินทุนสนับสนุนการวิจัยไม่เพียงพอ และความกังวลเกี่ยวกับความจำกัดของงบประมาณประเทศ ที่จะนำมาใช้ดำเนินตามแผนการพัฒนาการศึกษาระยะยาว สาเหตุดังกล่าวส่งผลให้ผู้ที่ได้รับทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศไม่ต้องการกลับมาทำงานในประเทศ ซึ่งนับเป็นความล้มเหลวในการดำเนินนโยบายการศึกษาของรัฐบาล
รายงานการศึกษาจากองค์การพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (Organisation for Economic Co-operation and Development: OECD) แสดงให้เห็นว่า ปี ค.ศ. 2003-2004 มีอาจารย์และนักวิชาการชาวต่างชาติในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ จำนวน 82,905 คน คิดเป็นร้อยละ 7 เป็นชาวอังกฤษมากที่สุดถึง 3,117 คน แต่ถือว่าเป็นจำนวนที่เล็กน้อย เพียงร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับจำนวนอาจารย์และนักวิชาการทั้งหมดที่ยังมีอยู่ในสหราชอาณาจักร รองลงมาเป็นชาวแคนาดามีร้อยละ 12.2 เมื่อเทียบกับนักวิชาการที่มีอยู่ในแคนนาดา แต่สัดส่วนดังกล่าวยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับอิสราเอล ซึ่งในปีเดียวกัน มีอาจารย์และนักวิชาการชาวอิสราเอลทำงานในมหาวิทยาลัยของสหรัฐฯ 1,409 คน แต่หากเทียบกับจำนวนอาจารย์และนักวิชาการทั้งหมดในมหาวิทยาลัยของอิสราเอล จะเห็นว่าเป็นสัดส่วนที่มากถึงร้อยละ 24.9 ซึ่งเป็น 2 เท่าของแคนาดา และมากกว่า 5 เท่าของประเทศที่พัฒนาแล้ว หากเทียบเป็นรายสาขา จะพบว่า มีอาจารย์และนักวิชาการชาวที่อิสราเอลทำงานในสหรัฐฯ สาขาเคมีจำนวน 1 ใน 8 สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ จำนวน 1 ใน 3 สาขาปรัชญาร้อยละ 15 และสาขาเศรษฐศาสตร์ ร้อยละ 29 ของจำนวนนักเคมี นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ นักปรัชญา และนักเศรษฐศาสตร์ ทั้งหมดในอิสราเอล
ประเทศรัสเซียเองประสบปัญหาสมองไหลคล้ายคลึงกับอิสราเอล ข้อมูลจากสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงมอสโก (2549) รัสเซียประสบปัญหาการไหลออกของบุคลากรคุณภาพสูงในสาขาสำคัญ ๆ ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่สหภาพโซเวียตล่มสลายปี ค.ศ. 1991 บุคลากรที่เชี่ยวชาญในสาขาวิทยาศาสตร์ คอมพิวเตอร์ คณิตศาสตร์ พันธุศาสตร์ และเทคโนโลยีชีวภาพ เป็นกลุ่มแรกที่อพยพออกมา หลังจากนั้นได้เกิดภาวะสมองไหลอย่างต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากรายได้ต่ำ เครื่องมือการทำงานไม่ทันสมัย ไม่มีความก้าวหน้าในอาชีพ และไม่ได้รับการยอมรับในสังคม ปัจจัยเช่นนี้ส่งผลผลักให้บุคลากรคุณภาพเหล่านี้หลั่งไหลไปเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยในสหรัฐฯ แทน
ภาวะสมองไหลในประเทศไทย
ปัญหาสมองไหลของอาจารย์และนักวิชาการคุณภาพในมหาวิทยาลัยไทยเกิดขึ้นเช่นกัน โดยส่วนหนึ่งไหลไปสู่ภาคธุรกิจที่มีค่าตอบแทนสูงว่าราชการ 2-3 เท่า หรือไปเป็นนักวิจัยและอาจารย์มหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ที่ให้ผลตอบแทนและมีความพร้อมทางทรัพยากรในการปฏิบัติงานและพัฒนางานวิชาการมากกว่า
ประกอบกับประเทศไทยยังขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพสูงไว้ในประเทศ ตัวอย่างเช่น เยาวชนไทยที่ได้เหรียญจากการแข่งขันโอลิมปิกวิชาการในสาขาต่าง ๆ เยาวชนกลุ่มนี้เป็นระดับมันสมองของประเทศ ที่มีศักยภาพจะพัฒนาสู่การเป็นผู้นำที่เชี่ยวชาญในสาขานั้น ๆแต่ประเทศไทยกลับขาดยุทธศาสตร์รองรับเยาวชนกลุ่มนี้ ศ. ดร.สุทัศน์ ยกส้าน ศาสตราจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) และนักวิจัยดีเด่น สาขาฟิสิกส์ทฤษฎี ปี พ.ศ. 2530 ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน เมื่อมกราคม พ.ศ. 2548 ไว้ว่า ldquo;เด็กกลุ่มนี้มีความสามารถเฉพาะทางที่เด่นมาก เขาควรจะเดินในเส้นทางนี้ต่อไป.... ในความเป็นจริงรัฐบาลเพียงแค่ทุ่มเงิน แต่ไม่ได้วางกฎหรือข้อบังคับที่ชัดเจนว่า หลังจากที่ได้เป็นตัวแทนประเทศในการแข่งขัน ตลอดจนได้ทุนเรียนต่อต่างประเทศนับ 10 ปี เด็กได้เจริญรอยตามสิ่งที่เฝ้าฝึกฝนหรือกลับมาเพื่อทำงานพัฒนาประเทศชาติหรือไม่rdquo;
เมื่อรัฐบาลไม่ได้วางยุทธศาสตร์เพื่อใช้ประโยชน์จากเยาวชนกลุ่มนี้ เส้นทางชีวิตจึงไม่มีอะไรมากไปกว่า การเรียนต่อต่างประเทศ และทำงานตามสายงานที่ตนเองถนัด โดยไม่ได้มีส่วนพัฒนาประเทศตามสาขาที่เชี่ยวชาญ และสิ่งที่น่าเสียดายที่สุดคือ คนเก่งหลายคนถูกดึงตัวไปทำงานในต่างประเทศ เนื่องด้วยได้รับค่าตอบแทนที่สูงกว่า ได้ทำงานในสภาพที่มีความพร้อมและมีมาตรฐานชีวิตที่ดีกว่า เช่น เดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศสิงคโปร์และมาเลเซีย ปัจจุบันคนสิงคโปร์กว่า 150,000 คนไปทำงานและเรียนต่างประเทศ ในจำนวนนี้เป็นนักศึกษาร้อยละ 40 ซึ่งมีบริษัทต่างชาติเสนอรายได้สูง ๆ ขณะที่มาเลเซีย นักเรียนเก่งจะได้รับข้อเสนอเป็นทุนการศึกษาไปเรียนในประเทศสิงคโปร์ หลังจากเรียนจบยังสามารถอยู่ทำงานต่อได้อีก 3 ปี โดยได้รับเงินเดือนในอัตราที่สูงกว่าในมาเลเซีย ทั้งยังมีโอกาสได้รับสถานภาพทางสัญชาติเป็นการถาวรอีกด้วย
ตัวอย่างการแก้ปัญหาสมองไหลในต่างประเทศ
ทั่วโลกล้วนประสบปัญหาภาวะสมองไหล ซึ่งมีปัจจัยสำคัญมาจากการขาดนโยบายหรือมาตรการที่เอื้อให้คนเก่งอยู่ทำงานในประเทศ การได้รับค่าตอบแทนต่ำ การขาดความก้าวในอาชีพ สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสมเท่าที่ควรและ มีระดับคุณภาพชีวิตต่ำ
ประเทศที่ประสบกับภาวะสมองไหล ต่างเร่งหามาตรการจูงใจเพื่อให้บุคลากรที่มีคุณภาพยังอยู่ในประเทศอาทิ
ประเทศมาเลเซีย กระทรวงการคลังได้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษียานพาหนะ กระทรวงทรัพยากรมนุษย์สนับสนุนการวิจัย โดยให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและทรัพยากรที่จำเป็น แต่มาตรการดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จ เพราะสาเหตุหลักของภาวะสมองไหลมาจากอัตราค่าจ้างที่ต่ำกว่าประเทศอื่น
ประเทศจีน ประสบปัญหาคนมีคุณภาพไหลออกนอกประเทศจำนวนมาก มีชาวจีนที่เดินทางไปศึกษาต่างประเทศประมาณ 1,070,000 คน แต่มีเพียง 275,000 คน ที่กลับมารับใช้ประเทศ รัฐบาลจีนจึงมีมาตรฐานหยุดภาวะสมองไหล โดยให้อภิสิทธิ์นักเรียนนอกหลายประการ อาทิ สิทธิในการทำงานทั้งในเมืองและชนบทโดยไม่ยึดติดกับการจดทะเบียนภูมิลำเนา ซึ่งแยกระหว่างคนเมืองและคนชนบท เพื่อป้องกันการไหลทะลักของของคนชนบทเข้ามาทำงานในเมือง ให้โควตาตำแหน่งพิเศษพร้อมอัตราเงินเดือนที่สูงอีกทั้งอำนวยความสะดวกในการทำเอกสารเดินทางเข้าออกประเทศ ส่วนนักเรียนนอกที่ยังไม่จบการศึกษา รัฐบาลจีนจะสนับสนุนทุนวิจัยภายในประเทศ
อภิสิทธิ์ที่รัฐบาลจีนได้เสนอให้นักเรียนนอก เป็นการนำหลักกลไกตลาดมาใช้ กล่าวคือ เมื่อต้องการได้คนที่มีศักยภาพมาทำงาน ควรให้เขาได้รับสิ่งพิเศษซึ่งคนทั่วไปไม่ได้รับ สามารถตอบสนองความต้องการในด้านค่าตอบแทน ความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน การได้ใช้ศักยภาพของตนทำประโยชน์ให้ประเทศ และได้รับความสะดวกสบายในด้านต่าง ๆ มาตรการดังกล่าวมีผลทำให้ในปี ค.ศ 2006 มีบัณฑิตที่จบการศึกษาจากต่างประเทศจำนวน 42,000 คน กลับมาประเทศจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.3 จากปี ค.ศ. 2005 อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยบางประการที่ประเทศจีนสามารถดึงดูดคนเก่งที่ไปเรียนในต่างประเทศกลับมาพัฒนาประเทศได้ เพราะค่านิยมความรักในประเทศชาติและวัฒนธรรมของตนเอง
ดังนั้น มาตรการป้องกันภาวะสมองไหล จำเป็นต้องดำเนินการในหลายมาตรการไปพร้อมกัน และประการสำคัญ ควรเป็นมาตรการที่แก้ตรงกับสาเหตุของปัญหา ซึ่งแต่ละประเทศอาจแตกต่างกันไป
กรณีของประเทศไทยนั้น การค้นหา การพัฒนา และการรักษาคนเก่งที่เป็นระดับมันสมองของประเทศไว้ในระบบ ต้องเร่งดำเนินการ ต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบครบวงจร และหาวิธีดำเนินการที่เปิดกว้างสามารถออกกรอบแนวทางเดิม เพื่อป้องกันปัญหาสมองไหล และให้บุคคลกลุ่มนี้สามารถใช้ความรู้ความสามารถได้อย่างเต็มที่ในการพัฒนาประเทศ โดยเริ่มตั้งแต่การวางเส้นทางค้นหาความสามารถพิเศษ การพัฒนาครอบครัวให้มีส่วนพัฒนาศักยภาพของเด็กกลุ่มนี้ การจัดการเรียนในการพัฒนาได้เต็มตามศักยภาพ รวมถึงการกำหนดงานในตำแหน่งหน้าที่สำคัญต่อการพัฒนาประเทศ อีกทั้งต้องพัฒนาระบบการให้ค่าตอบแทนที่จูงใจตามกลไกตลาด โดยควรได้ค่าตอบแทนสูงกว่า เป็นต้น
Tags:
เผยแพร่:
0
เมื่อ:
2008-03-28