Sources : http://www.pattayadailynews.com/en/wp-content/uploads/2010/07/phot216.jpg

I was recently invited by the Professional Tourist Guide Association of Thailand, along with the Department of Tourism, Ministry of Tourism and Sports of Thailand to lecture on the topic of, ?Prepare for the ASEAN Economic Community (AEC) and Globalization: Know Thyself, Know Thine Enemy.? The purpose of the lecture was to prepare the tourism and tourist guide sectors in Thailand for the AEC and globalized world.
In this, the first of two articles, I would like to share my opinions given on that day, firstly to consider the effect of the AEC and globalization on Thai tourism, and in a second article, to discuss how to prepare tourist guides for the AEC.
Globalization and the AEC will create changes affecting Thai tourism, as follows:


แหล่งที่มาของภาพ : http://static.guim.co.uk/sys-images/Guardian/Pix/pictures/2011/7/19/1311076136359/shake-hands-007.jpg

จากผลกระทบและโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่จะเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2558  ที่ผมได้อธิบายไปในบทความก่อนหน้านี้ คน กทม.มีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยประเด็นสำคัญที่คน กทม.ควรเตรียมความพร้อมมีดังต่อไปนี้


แหล่งที่มาของภาพ : http://www.tienchiu.com/wp-content/gallery/thailand-bangkok/bangkok_market_woman.jpg

ทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจเป็นได้ทั้งอุปสรรคและโอกาสขึ้นอยู่กับมุมมองและทัศนคติ การเข้าสู่ประชาคมก็เช่นเดียวกัน ผมได้วิเคราะห์ถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนไปแล้วในบทความครั้งที่แล้ว ในครั้งนี้ผมอยากจะชี้ให้เห็นถึงโอกาสที่เกิดขึ้น โดยการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอาจเป็นโอกาสของคน กทม.ในหลายด้าน อาทิ


แหล่งที่มาของภาพ : http://airpano.ru/files/bangkok_sausage.jpg

ในช่วงที่ผ่านมาผมได้วิเคราะห์และเขียนถึงการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในภาพรวมประเทศไทยไว้พอสมควร แต่ในฐานะที่กรุงเทพมหานครเป็นเมืองหลวงของประเทศไทย เป็นศูนย์กลางของกิจกรรมหลายๆ อย่าง และคนกทม.เองเป็นส่วนที่สำคัญไม่น้อยในการขับเคลื่อนสังคม ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์มากหากมีการวิเคราะห์เจาะจงเพื่อตอบคำถามว่าการเปิดประชาคมอาเซียนเกี่ยวข้องกับกรุงเทพและคนกทม.อย่างไร? โดยผมจะวิเคราะห์ถึงผลกระทบและโอกาสที่เกิดขึ้นจากการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนที่มีต่อคนกทม.รวมทั้งนำเสนอแนวทางในการปรับตัวสำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

หากพิจารณาในเชิงหลักการ การจำนำข้าวดูเหมือนเป็นแนวคิดที่ดี กล่าวคือ มีวัตถุประสงค์เพื่อแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำในช่วงที่ผลผลิตข้าวออกสู่ตลาดมาก ชาวนาจะนำข้าวไปจำนำก่อนเพื่อรอเวลาที่ราคาข้าวสูงขึ้นแล้วจึงไถ่ถอนข้าวออกมาจำหน่าย

อย่างไรก็ดี การจำนำมีข้อจำกัดในการนำมาใช้กับข้าวเปลือก เนื่องจากการจำนำข้าวมีต้นทุนการดำเนินการสูง โดยเฉพาะต้นทุนการขนส่งและต้นทุนการเก็บรักษา รวมทั้งยังมีต้นทุนจากการเสื่อมคุณภาพของผลผลิตข้าว ดังนั้นราคารับจำนำจำเป็นต้องต่ำกว่าราคาตลาดมากพอสมควร เพื่อให้ชาวนาที่นำข้าวมาจำนำมีแรงจูงใจมาไถ่ถอนข้าวออกไป หรือเพื่อให้ผู้รับจำนำข้าวมีกำไรหรือไม่ขาดทุนเมื่อนำข้าวที่หลุดจำนำออกขายทอดตลาด

ในภาคปฏิบัติ โครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลไม่ใช่การรับจำนำข้าวตามแนวคิดข้างต้น แต่เป็นการรับซื้อข้าวจากเกษตรกรเพื่อมาเก็บรักษาและจัดจำหน่ายเอง ในขณะเดียวกันก็ยังเป็นนโยบายสงเคราะห์ด้านรายได้แก่เกษตรกร เพราะรัฐบาลรับซื้อข้าวจากเกษตรกรในราคาที่สูงกว่าราคาตลาดมากจนเป็นไปไม่ได้ที่เกษตรกรจะกลับมาไถ่ถอนข้าวออกไป

คนทำงานที่เป็นที่ต้องการของทุกองค์กรย่อมต้องเป็นคนที่ขยันขันแข็ง ทุ่มเทให้กับองค์กร หนักเอาเบาสู้ รับผิดชอบเต็มที่ มีความตั้งใจสูงที่จะทำงานให้เสร็จตามเส้นตายที่กำหนด และหลายคนเลือกที่จะรับประทานอาหารกลางวันแบบ "มือเดียว" คือมือหนึ่งถืออาหารไว้ อาจเป็นแฮมเบอร์เกอร์ ขนมปัง อีกมือหนึ่งทำงานไปด้วย หรือซื้ออาหารกล่องมารับประทานไปทำงานไป ไม่ต้องลุกไปไหน ตลอดทั้งวันจนกระทั่งงานเสร็จ

แน่นอนว่าความขยันแบบนี้ หากเป็นแบบนานๆครั้งคงไม่เป็นไร แต่หากเป็นประจำทุกวันหรือแทบไม่เคยไปรับประทานอาหารกลางวันข้างนอกเลย สิ่งที่เราต้องแลก ไม่เพียงเสียสุขภาพในอนาคต แต่ประสิทธิภาพการทำงานจะถูกบั่นทอนลงในระยะยาวด้วย

ดังนั้น เพื่อให้ห่างไกลจากโรคร้าย เราจึงไม่เพียงตั้งเป้าทำงานเต็มที่ให้งานออกมาดี แต่เมื่องานดีแล้ว สุขภาพของเราต้องดีด้วย การทำงานและการรักษาสุขภาพจึงต้องดำเนินควบคู่ไปด้วยกันอย่างสมดุล


แหล่งที่มาของภาพ : http://1.bp.blogspot.com/-adFOL71VXqg/T3PswnmF_yI/AAAAAAAAAJs/3NNX6Vkde88/s320/bumiputera.jpg
 

     รัฐบาลมาเลเซียมีนโยบายเกื้อหนุนพลเมืองเชื้อสายมาเลย์และคนพื้นเมืองรัฐซาบาห์กับซาราวักอย่างต่อเนื่อง

     เพราะรัฐธรรมนูญมาเลเซียมาตรา 153 บัญญัติให้ ?ฐานะพิเศษ? แก่คนเหล่านี้ หรือที่เรียกว่า ?ภูมิบุตร? (Bumiputeras) แม้ว่ามาตราเดียวกันนี้บัญญัติว่ารัฐบาลจะต้องปกป้องสิทธิของชนเชื้อสายอื่นๆ อย่างเท่าเทียม แต่ในสังคมมาเลเซียมีเสียงแสดงความไม่พอใจอย่างต่อเนื่องเสมอมาโดยเฉพาะจากคนเชื้อสายจีนและอินเดียว่า รัฐบาลที่พรรคอัมโน (United Malays National Organisation หรือ UMNO) เป็นแกนนำนั้นเอาใจใส่ประชาชนกลุ่มภูมิบุตรเป็นพิเศษ
     ในแวดวงวิชาการมีการอธิบายในหลายแง่มุม แนววิเคราะห์แบบหนึ่งเห็นว่านโยบายภูมิบุตรคือนโยบายประชานิยมที่มุ่งเอาใจพวกภูมิบุตร โดยมีความคิดเบื้องหลังว่าภูมิบุตรมีฐานะทางเศรษฐกิจไม่ดี รัฐบาลจึงออกนโยบายสำคัญที่เรียกว่า New Economic Policy (NEP) ในปี 1971 เพื่อลดความยากจนโดยไม่คำนึงถึงเชื้อสาย ผ่านการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และการปรับโครงสร้างสังคมเพื่อไม่ให้กิจกรรมเศรษฐกิจผูกกับความเป็นเชื้อสาย ต่อมาในปี 2010 รัฐบาลประกาศใช้นโยบายใหม่ที่ชื่อว่า New Economic Model (NEM) เพื่อใช้แทน NEP โดยมีเป้าหมายในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างยั่งยืน และเท่าเทียม แม้นโยบายเหล่านี้มีหลักการที่ดูเหมือนดี แต่การดำเนินนโยบายมีการเลือกปฏิบัติและให้สิทธิพิเศษต่อภูมิบุตร เช่น การกำหนดเป้าหมายเพิ่มส่วนแบ่งทางเศรษฐกิจของภูมิบุตรจากร้อยละ 2.4 เป็นร้อยละ 30 เป็นต้น

happyworkโลกวันนี้วันสุข
คอลัมน์ : HR Tips

ทุกวันนี้คนทำงานจำนวนหนึ่งต้องลาออกจากงานเพราะเป็นโรคซึมเศร้า อีกจำนวนไม่น้อยเริ่มแสดงอาการ "หมดไฟ" เบื่องาน ประสิทธิภาพการทำงานลดลง หงุดหงิดกับงาน สภาพแวดล้อม เพื่อนร่วมงาน หรืออาจมองตนเองในแง่ลบ มองตนเองไม่มีคุณค่า ในที่สุดหากไม่ได้รับการรักษา ย่อมนำไปสู่ภาวะซึมเศร้าที่รุนแรงจนไม่สามารถทำงานได้ และร้ายที่สุดอาจนำไปสู่ภาวการณ์ฆ่าตัวตาย


แหล่งที่มาของภาพ : http://us.123rf.com/400wm/400/400/mariusz_prusaczyk/mariusz_prusaczyk1303/mariusz_prusaczyk130300158/18282477-3d-goal-together-crossword-on-white-background.jpg
 
    ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมทั้งความถดถอยทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่พัฒนาแล้ว เป็นแรงกดดันที่ทำให้รัฐบาลของประเทศเหล่านี้จำเป็นจะต้องหันมาทบทวนเกี่ยวกับแนวคิดและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจ
 
     ปรากฏการณ์ที่สะท้อนถึงแรงกดดันดังกล่าวเกิดขึ้นในหลายประเทศ ตัวอย่างเช่น การตัดลดงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ซึ่งมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีอยู่ในระดับสูงมาก และมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้
 
     อีกตัวอย่างหนึ่งคือ การสิ้นสุดของมาตรการลดหย่อนภาษีและการเริ่มต้นของแผนการตัดลดรายจ่ายของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ทั้งสองเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงสิ้นปี 2012 ทำให้ความวิตกว่าจะเกิดภาวะหน้าผาทางการคลัง (Fiscal Cliff) ซึ่งคาดว่าจะส่งผลทำให้เศรษฐกิจถดถอย อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้น และบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและนักลงทุน


แหล่งที่มาของภาพ : http://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/6/6d/Thailand_(orthographic_projection).svg/250px-Thailand_(orthographic_projection).svg.png

โดยปรกติแล้วผมได้รับเชิญให้ไปบรรยายและให้ความรู้ในประเด็นต่างๆ อยู่เป็นประจำ ในระยะหลังนั้น หัวข้อที่ผมได้รับเชิญให้ไปพูดบ่อยครั้งมากที่สุดแทบไม่เว้นแต่ละวันคือประเด็นที่เกี่ยวกับประชาคมอาเซียน ซึ่งถึงแม้ว่าประเด็นนี้จะถูกกล่าวถึงมากขึ้น แต่การสำรวจที่ผ่านมากลับพบว่า คนไทยที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนมีสัดส่วนน้อยมาก ซึ่งในบทความจะตอบคำถามที่ว่าประเทศไทยจะเป็นอย่างไรหลังเข้าสู่ประชาคมอาเซียน? สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทยมีหลายประการ เช่น

1) เศรษฐกิจขยายตัวมากขึ้น

ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว คือ การลดอัตราภาษีนำเข้าเหลือร้อยละ 0 และการขจัดมาตรการกีดกันทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษีของประเทศสมาชิกอาเซียน ทำให้มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับอาเซียนขยายตัวสูงขึ้น นอกจากนี้การเปิดเสรีการลงทุนจะทำให้มีเงินลงทุนโดยตรงจากประเทศสมาชิกอาเซียนเข้ามายังประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในธุรกิจบริการที่อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาถือหุ้นได้สูงถึงร้อยละ 70 เช่น การขนส่งทางอากาศ บริการด้านการท่องเที่ยว บริการสุขภาพ และบริการโลจิสติกส์ เป็นต้น รวมทั้งการลงทุนจากประเทศนอกกลุ่มอาเซียนมายังประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากภูมิศาสตร์ของไทยเหมาะแก่การลงทุนเป็นฐานการผลิตเพื่อส่งไปยังประเทศอื่นในภูมิภาค