การที่รัฐบาลอ้างการใช้นโยบายเก็บ
15
บาทตลอดสาย เป็นเหตุผลชะลอส่วนต่อขยายบีทีเอส เป็นการเน้นผิดประเด็น
เพราะหากซื้อคืนบีทีเอสไม่ได้ เก็บ
15
บาทไม่ได้ ควรสร้างไปก่อนดีกว่ารออย่างไร้ความหวัง
และเสนอเก็บค่าโดยสารแยกตามกลุ่มคน
ผมเห็นว่ากรณีโต้แย้งระหว่างรัฐบาลและกรุงเทพมหานครเกี่ยวกับการก่อสร้างส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า
โดยที่รัฐบาลใช้ข้ออ้างที่ว่าจะเก็บ
15
บาทตลอดสาย
เป็นเหตุผลให้ชะลอโครงการส่วนต่อขยายฯ
นั้นเป็นข้อพิจารณาที่เน้นผิดประเด็น เพราะการเก็บ
15
บาทได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะซื้อคืนสัมปทานจาก
BTS
ได้หรือไม่
หากซื้อคืนได้ จึงจะเก็บ 15
บาทตลอดเส้นทางได้ แต่หากซื้อคืนไม่ได้ บังคับให้
BTS
เก็บ
15
บาทไม่ได้
ยกเว้นว่ารัฐบาลต้องอุดหนุนประชาชนที่ใช้บริการ
BTS
การที่รัฐบาลกล่าวว่า ให้รอก่อน จึงเป็นคำถามว่า
จะต้องรอไปถึงเมื่อใด
เพราะ
BTS
ยังไม่มีทีท่าว่าจะขายกิจการให้รัฐบาล แม้ว่าขณะนี้
BTS
จะอยู่ในศาลล้มละลาย แต่ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้แล้ว แต่กระนั้น
BTS
ยังไม่มีเงินลงทุนเอง และส่วนต่อขยายก็ไม่อยู่ในแผนลงทุน
Megaproject
ซึ่ง รมว.คมนาคมเคยประกาศจะสร้าง
4
เส้นทาง คือ สีม่วง สีน้ำเงิน สีแดงเข้ม และสีแดงอ่อน
ด้วยเหตุนี้เมื่อรัฐบาลยังซื้อ
BTS
คืนไม่ได้ การที่ให้
กทม.
เข้าไปลงทุนสร้างส่วนต่อขยายนี้ น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่า
การรอคอยอย่างไม่มีความหวัง
เพราะโครงการมีความพร้อม สามารถดำเนินการได้รวดเร็ว ด้วยเงินลงทุนที่ไม่มากนัก
และมีผู้ที่พร้อมจะลงทุน กทม.สามารถเจรจาให้ค่าโดยสารให้เท่าเดิม
หรือลดลงได้ เพราะ กทม.เป็นผู้ลงทุนทั้งหมด
ขณะที่ ผลการศึกษาของ สนข.
พบว่าเส้นทางสายสีลมอยู่ในกลุ่มที่มีอัตราผลตอบแทนทางการเงิน
(FIRR)
สูง
เมื่อเทียบกับสายอื่น และน่าจะมีอัตราผลตอบแทนเชิงเศรษฐศาสตร์
(EIRR)
สูงมากด้วย
เพราะอยู่ในบริเวณที่การจราจรหนาแน่น
การชะลอโครงการออกไปไม่เป็นประโยชน์อันใด เพราะโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า
1,300
ล้านบาท
ที่ได้ก่อสร้างไว้แล้ว
หากปล่อยทิ้งไว้จะมีค่าเสียโอกาสในการใช้งาน ประชาชนเสียโอกาสได้ใช้บริการรถไฟฟ้า
และมีต้นทุนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมที่ต้องสูญเสียจากการจราจรที่ติดขัด
และหากรอไปอีกจะทำให้ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น
เพราะดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
หากรัฐบาลต้องการให้
BTS
เก็บค่าโดยสารอัตราเดียวกับระบบของรัฐบาล
อาจทำได้โดยรัฐบาลต้องเข้ามาอุดหนุน
ซึ่งในโครงการรถไฟฟ้าของรัฐบาลที่เก็บ
15
บาทตลอดสาย รัฐบาลต้องอุดหนุนอยู่แล้ว
และอาจปรับปรุงให้ใช้ตั๋วใบเดียวได้
โดยให้คอมพิวเตอร์บันทึกข้อมูลการเดินทางของผู้โดยสาร เพื่อหักแบ่งรายได้กัน
เช่นเดียวกับฮ่องกงที่มีเจ้าของหลายบริษัท แต่ใช้ตั๋วร่วมกัน