สวัสดีครับ
มิตรสหายทุกท่าน
ในการอภิปรายโครงการขนาดใหญ่
หรือ
Mega-Project
ของรัฐบาล
ที่มีแนวคิดว่าจะสร้างรถไฟฟ้ายาว
291
กิโลเมตร
สร้างถนน
เชื่อมถนน
พัฒนาลุ่มน้ำ
และโครงการอื่น ๆ
โดยใช้เงินประมาณ
1.5
ล้านล้านบาทใน
4
ปีว่า
ความใหญ่และความเร่งรีบในการก่อสร้างของโครงการนี้
อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อประชาชนและระบบเศรษฐกิจ
รัฐบาลจึงควรดำเนินการอย่างรอบคอบ
ปัญหาสำคัญที่เป็นธรรมชาติของโครงการที่มีขนาดใหญ่
คือความไม่แน่นอนของต้นทุนและผลตอบแทน
โครงการขนาดใหญ่มีโอกาสสูงที่งบจะบานปลายและรายได้ต่ำกว่าคาด
เพราะโครงการขนาดใหญ่มีความซับซ้อนมาก
ทำให้ประมาณต้นทุนและผลตอบแทนให้แม่นยำได้ยาก
ซึ่ง
Mega-Project
ของไทยมีความเสี่ยงจะเกิดความผิดพลาดในการประเมินต้นทุนและผลตอบแทนเช่นกัน
ปัญหาของโครงการมักจะแสดงให้เห็นในช่วงปีท้าย
ๆ ของโครงการ
หากมีความผิดพลาดของการประเมินต้นทุน
45%
ดังที่เกิดขึ้นทั่วโลก
หมายความว่า
รัฐจะต้องหาเงินจำนวน
6.75
แสนล้านเพิ่มขึ้น
มากกว่าครึ่งของงบประมาณแผ่นดิน
จากงบประมาณเดิม
1.5
ล้านล้านบาท
ทำให้รัฐจะมีภาระทางการเงินสูงถึง
2.175
ล้านล้าน
(1.5+ 0.675
ล้านล้าน)
ในช่วง 4
ปี
โดยยังไม่มีรายได้จากโครงการทำให้อาจจะต้องชะลอโครงการ
หรือ
ลดขนาดโครงการลง
โครงการ
Mega-Project
เป็นการลงทุนครั้งเดียวหลายโครงการมาก
ในช่วงระยะเวลาสั้น
ๆ เพียง 4
ปี
ย่อมมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
อาทิ
อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นจากปัจจัยเสี่ยงด้านราคาน้ำมันที่สูงขึ้น
และการยกเลิกการอุดหนุนราคาน้ำมันดีเซลในอนาคต
รวมทั้งเงินเฟ้อที่เกิดจากการใช้จ่ายของโครงการนี้
ซึ่งจะเพิ่มขึ้นในแต่ละปี
2%
จากอัตราเงินเฟ้อปกติ
รวมแล้วคาดว่าเงินเฟ้อมีโอกาสสูงถึง
4.6-5.5%
ส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนที่มีรายได้ประจำ
เช่น
พนักงานบริษัท
ผู้ใช้แรงงาน
รับจ้าง
ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่มีรายได้น้อย
และกลุ่มที่ต้องพึ่งเงินจากเงินฝาก
เช่น กลุ่มคนชรา
ผู้เกษียณอายุมากกว่ากลุ่มอื่น
ๆ
นอกจากนี้
โอกาสที่เศรษฐกิจจะชะลอตัวในระยะยาว
หากโครงการเป็นดังเช่นโครงการของรัฐทั่ว
ๆ ไป
ที่การลงทุนนั้นไม่ทำผลกำไร
เนื่องจากรัฐมีภาระต้องชำระเงินกู้ในอนาคต
ทำให้มีข้อจำกัดทางการคลัง
ต้องแบ่งเงินจากรายได้ไปชำระหนี้
ทำให้เหลือเงินใช้จ่ายภาครัฐอัดฉีดกลับเข้าไปในระบบเศรษฐกิจได้ลดลงในอนาคต
อีกทั้ง
มีความเป็นไปได้ว่า
โครงการนี้จะส่งผลให้เกิดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
เนื่องจากการลงทุนส่วนหนึ่งต้องอาศัยการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศถึง
50%
เมื่อบวกกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น
ย่อมมีผลทำให้การส่งออกลดลง
และทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลงถึงระดับที่อันตราย
ผมเสนอว่า
โครงการนี้ควรมีการจัดลำดับความสำคัญและทำเป็นขั้น
ๆ
ไม่ควรระดมทำกันรวดเดียวภายใน
4
ปี
และควรแบ่งโครงการให้อยู่ในระดับที่บริหารจัดการความเสี่ยงของโครงการได้
ทั้งความเสี่ยงในการระดมทุนทางด้านต้นทุน
และความเสี่ยงจากประโยชน์ที่ได้รับจากโครงการ
ทำให้ไม่เป็นภาระต่องบประมาณของรัฐมากจนเกินไป
และควรส่งเสริมให้เอกชนมาร่วมลงทุน
ซึ่งจะช่วยให้รัฐไม่ต้องแบกรับความเสี่ยงเองทั้งหมด |