เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
สงครามค้าปลีกเริ่มส่อเค้าขยายวง
เมื่อเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยออกมาเรียกร้องรัฐบาลไทยให้ความเป็นธรรมกับค้าปลีกต่างชาติ
พร้อมทั้งกระตุ้นให้รัฐบาลไทยเป็นธรรมกับนักลงทุนจากต่างชาติ
โดยเฉพาะการขยายกิจการซูเปอร์สโตร์และการลงทุนจากภายนอกนั้น
เป็นประโยชน์และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
ดังนั้นการดำเนินนโยบายการใดๆ
จะต้องสมดุลและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ผมคิดว่าการออกมาปกป้องธุรกิจของรัฐบาลต่างชาติที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทย
มีข้อถกเถียงสำคัญเกี่ยวกับนิยามของ
“ความเป็นธรรม”
เพราะหากพิจารณาในแง่ข้อจำกัดของการประกอบธุรกิจ
กิจการค้าปลีกขนาดใหญ่ย่อมมีข้อจำกัดทางกฎหมายกว่ากิจการร้านค้าโชว์ห่วย
แต่หากพิจารณาในแง่ของการแข่งขันที่เป็นธรรม
การให้กิจการขนาดใหญ่ตั้งสาขาในพื้นที่ต่างๆ
ได้เหมือนกับร้านค้าโชว์ห่วย
ย่อมไม่เป็นธรรมต่อร้านค้าโชว์ห่วย
เพราะกิจการค้าปลีกขนาดใหญ่มีความได้เปรียบมากกว่าร้านค้าโชว์ห่วยอยู่แล้วโดยธรรมชาติ
เนื่องจาก
1.
ความแข็งแกร่งของร้านค้าปลีกสมัยใหม่
ประเด็นที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นจุดแข็งของร้านค้าปลีกสมัยใหม่
ในทางตรงกันข้ามเป็นจุดอ่อนของร้านค้าปลีกรายย่อยด้วย
อาทิ
การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
การมีเงินทุนจำนวนมาก
การบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ
การลดขั้นตอนการดำเนินงาน
โดยที่คนกลาง
ยี่ปั๊วและซาปั๊วถูกตัดทิ้งไป
ทำให้มีต้นทุนต่ำลง
ตลอดจนมีระบบจัดส่งสินค้าเข้าถึงลูกค้าโดยตรง
และมีความพิถีพิถันในรายละเอียด
แม้แต่วิธีการชำระเงินที่สามารถตอบสนองผู้บริโภคได้ดีกว่า
ความประหยัดต่อขนาด
(economy
of scale)
เนื่องจากองค์กรมีขนาดใหญ่ที่มีการซื้อสินค้าจำนวนมาก
ๆ
ทำให้การจัดซื้อสินค้ามีต้นทุนต่ำ
ขณะที่การขนส่งสินค้าจำนวนมากทำให้ต้นทุนการขนส่งต่อหน่วยต่ำมากกว่ากิจการร้านค้าขนาดเล็ก
ความสะดวกสบาย
มีที่จอดรถอย่างเพียงพอและมีสินค้าให้เลือกอย่างหลากหลายและครบครันจำนวนมากว่า
40,000
รายการขึ้นไป
จึงสามารถตอบสนองด้านความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคได้ดีกว่า
และสามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนและครอบครัวในเมืองที่ส่วนใหญ่จะมียานพาหนะ
ขณะที่ร้านสะดวกซื้อยังมีสินค้าที่จำเป็นอย่างครบถ้วน
มีการติดเครื่องปรับอากาศ
ตั้งอยู่ใกล้แหล่งที่อยู่อาศัย
พร้อมทั้งให้บริการที่รวดเร็วเป็นระบบ
และให้บริการตลอด
24
ชั่วโมง
ใช้เทคโนโลยีในศูนย์กระจายสินค้า
เช่น
การใช้ระบบ
electronics
data
interchange
และ
logistics
ทำให้การบริหารสินค้าคงคลังมีประสิทธิภาพ
มีจำนวนสินค้าคงคลังในระดับที่เหมาะสม
และสามารถปรับปรุงการกระจายสินค้าทำให้มีต้นทุนการขนส่งและการกระจายสินค้าที่ต่ำลง
ตลอดจนมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีการจัดการให้แก่ผู้ผลิตสินค้า
ทำให้ผู้ผลิตและจัดส่งสินค้าต้องปรับตัวไปใช้เทคโนโลยีที่สอดคล้องกับร้านค้าปลีกสมัยใหม่ทั้งหมด
ซึ่งในประเด็นนี้ร้านค้าปลีกรายย่อยจะเสียเปรียบอย่างมาก
เพราะไม่สามารถลงทุนเพื่อใช้เทคโนโลยีในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้
เข้าใจพฤติกรรมการบริโภคอย่างดี
และเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของการบริโภคในแต่ละช่วงเวลา
ตลอดจนมีการฝึกอบรมพนักงานให้มีความสุภาพและมีความเข้าใจสินค้าแต่ประเภทเป็นอย่างดี
ร้านค้าปลีกสมัยใหม่จึงสามารถปรับปรุงสินค้าและบริการตามความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี
ขณะที่ร้านค้าปลีกขนาดเล็กไม่มีสิ่งเหล่านี้
การโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางต่างๆ
ประกอบกับมีกลยุทธ์การจัดวางสินค้า
ซึ่งร้านค้าปลีกสมัยใหม่มีข้อมูลที่ทำให้ทราบว่า
ควรวางสินค้าประเภทใดไว้ที่ตำแหน่งใด
และทราบว่าลูกค้าควรจะเห็นสินค้าประเภทใดก่อน-หลัง
เพื่อจูงใจให้ซื้อสินค้ามากที่สุด
กิจการค้าปลีกสมัยใหม่จึงสามารถดึงดูดผู้บริโภคเข้าไปซื้อสินค้าและใช้บริการได้มากกว่าร้านค้าโชว์ห่วย
2.
กลยุทธ์การแข่งขันของร้านค้าปลีกสมัยใหม่
การขายสินค้าราคาต่ำ
(loss
leading)
เพื่อกำจัดคู่แข่งให้ออกจากธุรกิจ
และจะทำให้ตนเองผูกขาดในธุรกิจดังกล่าว
พฤติกรรมนี้ของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่คือ
การกำหนดราคาสินค้าต่ำแต่เน้นยอดขายจำนวนมาก
โดยยอมรับกำไรเบื้องต้นเพียงร้อยละ
8-12
ในขณะที่ห้างสรรพสินค้าและร้านสะดวกซื้อมีกำไรเบื้องต้น
ร้อยละ
16-20
การขายราคาต่ำมาก
(predator
price)
ซึ่งบางครั้งอาจต่ำกว่าต้นทุนแปรผัน
(variable
cost)
สังเกตได้จากรายได้จากการขายสินค้ากลับมีผลการขาดทุน
แต่กิจการกลับขยายตัวมากขึ้นเรื่อย
ๆ
โดยมีรายได้จากช่องทางอื่นที่ทำให้มีกำไร
การขยายสาขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้มียอดการสั่งซื้อจำนวนมาก
ซึ่งส่งผลทำให้ได้รับส่วนลดในการจัดซื้อสินค้ามากขึ้น
และสามารถต่อรองให้ผู้ผลิตสินค้าเข้ามาร่วมแบกรับต้นทุนบางส่วนได้
เช่น
การประมูลขายพื้นที่บนชั้นวางสินค้า
การจัดรายการลดราคาสินค้าโดยขอให้ผู้ผลิตสินค้าร่วมแบ่งรับต้นทุนของการลดราคา
การบีบให้ผู้ผลิตสินค้าจัดส่งสินค้าในราคาต่ำมาก
ปัจจุบันห้างค้าปลีกสมัยใหม่เริ่มรุกเข้าไปสู่การผลิตสินค้าโดยใช้ตราสินค้าของตนเอง
(House
brand)
หรือบีบให้ผู้ผลิตสินค้าจัดส่งสินค้าเพื่อนำมาจำหน่ายในตราสินค้าของร้านค้าปลีกขนาดใหญ่เสียเอง
เช่น
first
price,
leader
price,
คุ้มค่า,
Supersafe
เป็นต้น
ทำให้สามารถขายในราคาต่ำกว่าผู้ผลิตสินค้ารายอื่น
ๆ
การตั้งกิจการค้าปลีกสมัยใหม่เป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจและผู้บริโภคจริงดังที่เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทยกล่าว
แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งคือผลกระทบต่อผู้ประกอบการรายย่อยด้วย
ดังนั้น
นโยบายการจัดตั้งกิจการค้าปลีกสมัยใหม่จึงอาจไม่สามารถใช้กติกาเดียวกับร้านค้าโชว์ห่วย
ในขณะเดียวกันต้องไม่ใช้กฎหมายที่เข้มงวดต่อกิจการค้าปลีกสมัยใหม่มากเกินไป
แต่ต้องสมดุลระหว่างผลประโยชน์ของผู้บริโภคและผู้ประกอบการร้านค้าโชว์ห่วย
ผมเชื่อมั่นว่าร้านโชว์ห่วยของไทยยังไม่ถึงกับหมดทางสู้เสียทีเดียว
หากเร่งพัฒนาศักยภาพของผู้ประกอบการร้านค้าโชว์ห่วยอย่างจริงจังและอย่างถูกวิธีให้ความสามารถแข่งขันได้
|