จากกรณีที่นายไทกร
พลสุวรรณ
ผู้ประสานงานกลุ่มเครือข่ายอีสานกู้ชาติ
ระบุว่า
มีนักการเมืองพรรคไทยรักไทยที่เป็นหมอ
มีชื่อย่อ
“ส.”
เรียกประชุมแกนนำกลุ่มกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
และมีการชี้นำว่า
หาก
พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร
ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี
สมาชิกของกองทุนฟื้นฟูฯ
จะไม่ได้เงินจากกองทุนฯ
สำหรับกรณีนี้
ผมไม่ขอแสดงความเห็นว่า
มีนักการเมืองของพรรคไทยรักไทยที่มีพฤติกรรมดังกล่าวตามที่นายไทกรกล่าวจริงหรือไม่
แต่ถึงแม้สิ่งที่นายไทกรออกมาเปิดเผยเป็นความจริง
คำกล่าวอ้างของนักการเมืองที่ว่า
หาก
พ.ต.ท.ทักษิณ
ไม่ได้เป็นนายกฯ
เกษตรกรจะไม่ได้รับเงินจากกองทุนฟื้นฟูฯนั้น
ถือว่าเป็นการโกหกหลอกลวงประชาชนอีกครั้งหนึ่ง
ในฐานะที่ผมเคยเป็นกรรมการและกรรมการบริหารกองทุนฟื้นฟูฯ
ในยุคแรก
ๆ
ผมขอแสดงความเห็นว่า
การที่กองทุนฟื้นฟูฯ
จะจ่ายหรือไม่จ่ายเงินให้กับเกษตรกร
ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่า
พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร
จะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่
เพราะกองทุนฟื้นฟูฯ
เป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นตาม
พระราชบัญญัติ
กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร
พ.ศ.
2542
ในสมัยรัฐบาลชวน
2 ฉะนั้นหาก
พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กลับมาเป็นนายกฯ
กองทุนฟื้นฟูฯ
ยังคงจะดำเนินการอยู่ต่อไปตามกฎหมาย
แม้ว่าการจ่ายเงินของกองทุนฟื้นฟูฯ
ให้แก่เกษตรกรจะขึ้นอยู่กับนโยบายของรัฐบาลด้วย
และรัฐบาลทักษิณ
2
ยังเคยสัญญาว่าจะนำเงินของกองทุนฟื้นฟูฯ
มาใช้ในการแก้ไขปัญหาหนี้ของเกษตรกร
แต่หากพิจารณานโยบายและพฤติกรรมของรัฐบาลไทยรักไทยตลอด
5
ปีที่ผ่านมา
กลับแทบไม่ได้ให้ความสำคัญกับกองทุนฟื้นฟูฯ
ที่พรรคประชาธิปัตย์ก่อตั้งขึ้นเลย
หลักฐานสำคัญคือ
รัฐบาลไทยรักไทยให้ความสำคัญกับนโยบายประชานิยมต่าง
ๆ
โดยเฉพาะ
กองทุนหมู่บ้านและพักชำระหนี้เกษตรกร
แต่ไม่ให้ความสำคัญกับการดำเนินงานของกองทุนฟื้นฟูฯ
เลย
ถึงขนาดที่ไม่มีการเรียกประชุมคณะกรรมการกองทุนฯ
เป็นเวลานาน
และนับจนถึงวันนี้
เงินงบประมาณที่กองทุนฟื้นฟูฯ
มีอยู่
1,800
ล้านบาทตั้งแต่ช่วงเริ่มก่อตั้งกองทุนฟื้นฟูฯ
นั้น
ยังไม่มีการนำมาใช้ในการช่วยเหลือเกษตรกรตามเจตนารมณ์ของกฎหมายเลย
ดังนั้น
หากนักการเมืองของพรรคไทยรักไทยมีพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้นจริง
คำกล่าวอ้างเช่นนั้นจึงเป็นเพียงเสือกระดาษที่เขียนมาเพื่อขู่เกษตรกรที่เป็นสมาชิกของกองทุนฯ
เท่านั้น