ใช้นโยบายที่มุ่งให้ผลประโยชน์กับประชาชนรากหญ้าโดยตรง ในลักษณะนโยบายประชานิยม ที่ลด แลก แจก แถมเงินและสิ่งของให้กับประชาชน อาทิ นโยบายแท็กซี่เอื้ออาทร บ้านเอื้ออาทร กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ ทำให้ประชาชนรากหญ้าเสพติดนโยบาย เพราะได้รับการช่วยเหลือจากรัฐอย่างเป็นรูปธรรมและรวดเร็ว ส่งผลทำให้เกิดค่านิยมรอคอยที่จะได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลตลอดเวลา แทนที่จะพยายามพึ่งพาตนเอง แม้บางนโยบายจะส่งผลเสียต่อประชาชนรากหญ้าในระยะยาวก็ตาม

สร้างเงื่อนไขว่าหากไม่เลือกพรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลจะทำให้นโยบายประชานิยมถูกยกเลิก ซึ่งสอดคล้องกับคำพูดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งกล่าวว่าจะให้การดูแลจังหวัดที่เลือกพรรคไทยรักไทยก่อน ส่วนจังหวัดที่ไม่ได้เลือกจะช่วยเหลือในลำดับหลัง ทำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวว่าจะไม่ได้รับการดูแลจากรัฐบาล และนโยบายที่ตนเองจะได้รับผลประโยชน์จะถูกยกเลิกหากพรรคไทยรักไทยไม่ได้กลับมาเป็นรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้ว ไม่ว่าใครเข้ามาเป็นรัฐบาลจะต้องดำเนินนโยบายนี้ต่อไป เพราะเป็นรัฐธรรมนูญ มาตรา 52 ระบุไว้ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการทางสาธารณสุขที่ได้มาตรฐานและผู้ยากไร้มีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานบริการสาธารณสุขของรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”

แทรกแซงสื่อและประชาสัมพันธ์ผลงานรัฐบาลเพียงด้านเดียวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรายการนายกทักษิณพบประชาชน ทำให้ประชาชนรับรู้ความเคลื่อนไหวและผลงานของรัฐบาลในด้านบวกเพียงด้านเดียวอย่างต่อเนื่อง ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว มีโครงการมากมายที่รัฐบาลดำเนินการแล้วไม่ประสบความสำเร็จ หรือมีผลประโยชน์ทับซ้อน เช่น โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการกองทุนหมู่บ้าน โครงการไทยแลนด์อีลีทการ์ด โครงการเอื้ออาทรต่าง ๆ แต่สื่อกลับถูกแทรกแซงทำให้ไม่มีการสื่อสารข้อมูลดังกล่าวให้ประชาชนทราบ ยิ่งไปกว่านั้น ข่าวสารบางส่วนกลับถูกบิดเบือน มีการปิดกั้นการนำเสนอข่าวอย่างครบถ้วนของสื่อ เช่น การสั่งปิดรายการที่นำเสนอข้อมูลที่พาดพิงถึงรัฐบาลในด้านลบ หรือการสั่งถอดถอนผู้ประกาศข่าว เป็นต้น

จากเหตุผลที่กล่าวข้างต้นทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งยังคงตัดสินใจเลือกพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ในขณะที่ประชาชนอีกส่วนหนึ่งปฏิเสธที่จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพราะมีข้อกังขาต่อผลประโยชน์ทับซ้อนจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาล ผมเห็นว่ามุมมองความคิดที่แตกต่างกันของประชาชนทั้งสองกลุ่มจะเบาบางลงได้ ก็ต่อเมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แสดงสปิริตยินดีให้มีการตรวจสอบข้อกล่าวหาต่าง ๆ โดยบุคคลที่ทุกฝ่ายเชื่อถือและเป็นกลาง เพื่อให้ข้อกล่าวหาต่าง ๆ เกิดความชัดเจนขึ้น