เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
กระทรวงอุตสาหกรรมร่วมกับกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจัดทำแผนแม่บทโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญา
มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางปัญญาให้เข้มแข็งและสนับสนุนเศรษฐกิจพอเพียง
รวมทั้งสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย
แผนแม่บทดังกล่าวประกอบด้วย
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
การพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรม
การวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมพื้นฐาน
การออกกฎระเบียบ
และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสถาบัน
โดยมีเป้าหมายหลัก
3
ประการ
คือ
กำหนดให้สถานประกอบการในประเทศ
ร้อยละ
35
มีนวัตกรรมทางเทคโนโลยี
ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัยกับมหาวิทยาลัยและภาคการผลิตอย่างใกล้ชิด
รวมถึงสนับสนุนให้มีบุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้หากวิเคราะห์ปัญหาการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไทย
จะพบว่า
ประเทศไทยมุ่งเน้นแก้ปัญหาด้านอุปทานของการวิจัยและพัฒนาเป็นหลัก
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ประเทศไทยมีการตั้งโจทย์เพื่อแก้ปัญหาการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่สมดุล
โดยมุ่งเน้นการแก้ปัญหาด้านอุปทานของการวิจัยและพัฒนาเป็นหลัก
เช่น
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
การสนับสนุนงบประมาณแก่หน่วยงานวิจัย
การพัฒนาบุคลากรด้านการวิจัย
เป็นต้น
ซึ่งแม้ว่ามีความจำเป็น
แต่ยังไม่เพียงพอ
ประเทศไทยขาดแคลนอุปสงค์ด้านการวิจัยและพัฒนา
ประเทศไทยยังขาดแคลนอุปสงค์ต่อการวิจัยและพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศมีขนาดเล็ก
ทำให้ภาคเอกชนขาดแรงจูงใจในการลงทุนทำวิจัยและพัฒนา
เพราะการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีต้องใช้เงินลงทุนสูง
ขณะที่ตลาดรองรับผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนามีขนาดเล็กเกินไป
ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ไม่คุ้มทุน
ทั้งนี้โดยปกติในประเทศที่พัฒนาแล้วภาคเอกชนมักจะเป็นผู้ลงทุนหลักในการทำวิจัยพัฒนาโดยเฉพาะกิจการขนาดใหญ่ที่มีเงินทุนจำนวนมากและมีฐานการตลาดขนาดใหญ่จึงมีศักยภาพที่จะลงทุนวิจัยและพัฒนา
แต่ธุรกิจขนาดใหญ่ในประเทศไทยกลับไม่ได้เป็นหัวจักรสำคัญในการทำวิจัยและพัฒนา
เนื่องจากกิจการขนาดใหญ่จำนวนมากในประเทศไทยเติบโตขึ้นภายใต้บรรยากาศตลาดผูกขาด
อันเนื่องจากการคุ้มครองของระบบสัมปทาน
การกีดกันทางการค้าและสิทธิพิเศษอื่น
ๆ
ที่ได้รับจากการมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนักการเมือง
กิจการเหล่านี้จึงแทบไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนทำวิจัย
เพราะการลงทุนทางการเมืองเพื่อได้มาซึ่งสิทธิการผูกขาดได้ผลที่คุ้มค่าและมีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนทำวิจัย
สังคมไทยไม่ให้ความสำคัญการสร้างนวัตกรรม
สังคมไทยยังไม่ให้ความสำคัญกับการสร้างนวัตกรรมหรือสร้างความแตกต่างมากนัก
สังเกตได้จากการทำธุรกิจของผู้ประกอบการในไทยที่มักจะทำธุรกิจลอกเลียนแบบกิจการอื่น
โดยไม่พยายามคิดค้นสินค้า
และบริการใหม่
ๆ
ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากกลไกการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาขาดประสิทธิภาพ
ผู้ผลิตจึงขาดแรงจูงใจในการทำวิจัยและพัฒนา
เพื่อคิดค้นนวัตกรรมหรือพัฒนากระบวนการผลิต
เพราะการลงทุนวิจัยและพัฒนามีความเสี่ยงที่จะถูกผู้อื่นลอกเลียนแบบ
นอกจากนี้ผู้บริโภคในประเทศไทยยังมีลักษณะของความต้องการบริโภคสินค้าและบริการที่ขาดความประณีตละเอียดอ่อน
(Sophisticate)
หรือไม่เรื่องมากกับการซื้อสินค้าและบริการ
รวมทั้งไม่เรียกร้องสิทธิของตนเองในฐานะผู้บริโภค
เมื่อไม่ได้รับสินค้าและบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานหรือในราคาที่เป็นธรรม
ประกอบกับกลไกในการคุ้มครองผู้บริโภคในประเทศไทยอ่อนแอ
จึงทำให้ผู้บริโภคไม่ได้รับการคุ้มครองสิทธิ
ภายใต้บริบทเช่นนี้จึงทำให้ผู้ผลิตสินค้าและบริการไม่จำเป็นต้องทำวิจัยและพัฒนา
เพื่อทำให้สินค้าและบริการของตนให้มีคุณภาพมากขึ้น
เพราะไม่ว่าผลิตออกมาอย่างไรก็ยังคงขายได้
แนวทางแก้ปัญหาการวิจัยและพัฒนาด้วยการจัดการด้านอุปสงค์
ผมเห็นว่าการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ไม่ควรเน้นเฉพาะด้านอุปทานด้วยการสนับสนุนเงินทุน
ทรัพยากร
องค์ความรู้
และบุคลากรสำหรับการทำวิจัยและพัฒนาเท่านั้น
แต่ควรจัดการด้านอุปสงค์ของการวิจัยและพัฒนาด้วย
ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมบรรยากาศการแข่งขันด้วยการเปิดเสรีให้มีการแข่งขันมากขึ้น
และการพัฒนากฎหมายและกลไกการบังคับใช้กฎหมายการแข่งขันทางการค้า
(Antitrust
law)
การขจัดปัญหาคอร์รัปชันและผลประโยชน์ทับซ้อน
การพัฒนากลไกการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา
และการคุ้มครองผู้บริโภค
รวมทั้งการปรับปรุงระบบการศึกษาและวัฒนธรรมการทำธุรกิจ
เพื่อพัฒนาผู้ประกอบการให้เห็นความสำคัญของการวิจัยและพัฒนา
และมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรม
ตลอดจนทำให้ผู้บริโภครู้จักการรักษาสิทธิของตนเอง
|