เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาเงินบาทแข็งค่า
กระทรวงพาณิชย์ได้สนับสนุนผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนในต่างประเทศ
(Internationalization)
หลังพบว่าการส่งออกของไทยสู้ประเทศคู่แข่งไม่ได้
ซึ่งสอดคล้องกับข้อเสนอของธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่แนะนำให้ผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตสู่ต่างประเทศ
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน
และเป็นแนวทางแก้ปัญหาผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่าในระยะยาว
การสำรวจของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
พบว่า
ผู้ประกอบการไทยกำลังเตรียมย้ายฐานการผลิตบางส่วนออกไปยังประเทศที่มีต้นทุนต่ำ
หรือถูกกระทบจากแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์น้อยกว่าประเทศไทย
เช่น
เวียดนาม
ลาว
กัมพูชา
โดยในปัจจุบันมีบริษัทคนไทยไปดำเนินธุรกิจในต่างประเทศจำนวน
680
บริษัท
มีตัวแทนและร่วมทุนในลักษณะของการเปิดสาขาจำนวน
1,332
สาขา
กระทรวงพาณิชย์จึงตั้งเป้าหมายที่จะมีตัวแทนและการร่วมทุนในต่างประเทศทั่วโลก
จำนวน
3,000
สาขาภายใน
5
ปี
ปัจจัยที่อาจทำให้การย้ายฐานการลงทุนและฐานการผลิตของไทยขาดประสิทธิผล
ปัจจัยแรก
คือ
ข้อจำกัดในการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจและอุตสาหกรรมที่เน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มสูง
หากรัฐบาลส่งเสริมให้ผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตสู่ต่างประเทศ
โดยไม่มีการปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมภายในประเทศ
หรือขยับมาสู่อุตสาหกรรมที่ก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มสูง
จะทำให้การพัฒนาขาดความสมดุล
และส่งผลกระทบต่อต้นทุนของอุตสาหกรรมอื่น
ๆ
ที่เกี่ยวข้อง
ปัจจัยที่สอง
คือ
แรงงานในประเทศยังไม่ได้รับการพัฒนาทักษะเพื่อรองรับภาคการผลิตที่ต้องใช้ทักษะสูงขึ้น
เมื่อเร่งรีบผลักดันผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตสู่ประเทศที่มีต้นทุนแรงงานต่ำกว่า
แรงงานไร้ทักษะต้องสูญเสียการจ้างงานเป็นจำนวนมาก
หากการย้ายฐานการผลิต
การพัฒนาสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าเพิ่มสูง
และการพัฒนาทักษะฝีมือแรงงาน
ไม่สามารถเดินหน้าสอดประสานไปพร้อมกัน
อาจสร้างปัญหาต่อภาคการผลิตและแรงงานทั้งระบบ
จนส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้
ประเทศไทยควรย้ายฐานการผลิตและการลงทุนสู่ต่างประเทศอย่างไร?
ผมเห็นว่า
การผลักดันการย้ายฐานการลงทุนการผลิตควรอยู่ในกรอบระยะกลาง-ยาว
ไม่ควรเร่งดำเนินการโดยปราศจากยุทธศาสตร์รองรับ
แต่ควรมีการวิเคราะห์และวางแผนพัฒนาภาคการผลิตในภาพรวมอย่างเป็นระบบเสียก่อน
เนื่องจากภาคการผลิตต่าง
ๆ
มีความเชื่อมโยงกันในฐานะที่เป็นปัจจัยการผลิตของกันและกัน
ในลักษณะเป็นอุตสาหกรรมต้นน้ำ–ปลายน้ำ
หรือมีปัจจัยการผลิตขั้นต้นร่วมกัน
เมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมหนึ่ง
ๆ
ย่อมส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมอื่น
ๆ
ต่อเนื่องเป็นลูกโซ่
ดังนั้นการดำเนินนโยบายการพัฒนาในภาคการผลิตหนึ่ง
ๆ
จำเป็นต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อภาคการผลิตอื่น
ๆ ด้วย
ภาครัฐจึงควรวางแผนพัฒนาภาคการผลิตเพื่อค้นหายุทธศาสตร์แต่ละสาขา
โดยนำผลการศึกษาไปจัดลำดับความสำคัญของภาคการผลิต
นำไปสู่การจัดทำยุทธศาสตร์ปรับโครงสร้างภาคอุตสาหกรรมที่สอดคล้องกับเงื่อนไขการจ้างงานและการแข่งขันของประเทศ
ข้อควรคำนึงก่อนย้ายฐานการลงทุนและการผลิตสู่ต่างประเทศ
ภาครัฐควรคำนึงถึงความแตกต่างของขนาดทางธุรกิจ
และเข้าใจความต้องการของผู้ประกอบการไทย
และควรดำเนินการปรับโครงสร้างภาคการผลิตภายในประเทศก่อน
หรือ
พร้อม ๆ
กับการผลักดันเรื่องการย้ายฐานฯ
เนื่องจากโครงสร้างการผลิตในปัจจุบันทำให้ขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยอ่อนแอ
การย้ายฐานฯ
เพียงประการเดียวจะไม่ช่วยทำให้ภาคการผลิตไทยถูกพัฒนาอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
ทุกฝ่ายจึงควรคำนึงถึงการทำให้นโยบายดังกล่าวสามารถดำเนินการได้อย่างเกิดประสิทธิผลอย่างแท้จริง
|