เรียลลิตี้โชว์ (Reality
show) ซึ่งถ่ายทำชีวิตจริงของผู้เข้าแข่งขัน
กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในช่วง 2-3 ปีนี้
โดยเฉพาะรายการที่ถ่ายทอดสดชีวิตของผู้เข้าแข่งขันทุกอิริยาบถ ไม่ว่าจะกิน เล่น
ฝึกซ้อมหรือทำภาระกิจต่าง ๆ แม้แต่การนอน ซึ่งการติดตามถ่ายกันตลอด 24
ชั่วโมงทำให้ผู้ชมสนใจติดตามชมผู้เข้าแข่งขันอย่างไม่วางตา
เพราะสามารถตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นได้เป็นอย่างดี
และเมื่อนายกรัฐมนตรีเกิดความต้องการเป็นผู้เข้าแข่งขันเสียเอง จึงเกิดรายการเรียลลิตี้แก้จนที่อำเภออาจสามารถขึ้น
โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้เรียลลิตี้โชว์นี้เป็นแบบอย่างในการแก้ปัญหาความยากจน
ให้แก่ข้าราชการและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่นดูเป็นแนวทาง
ผมมีข้อสังเกตในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับการตัดสินใจทำรายการเรียลลิตี้โชว์ที่แสดงนำโดยท่านนายกฯ
ดังนี้
แนวคิดพื้นฐานของเศรษฐศาสตร์สอนให้เรารู้ว่าทรัพยากรทุกอย่างมีอยู่จำกัด
รวมทั้งทรัพยากรเวลา เราจึงต้องตัดสินใจเลือกทำสิ่งหนึ่งและไม่ทำสิ่งที่เหลือ
และการไม่ทำทางเลือกที่เหลือนี่เองทำให้เกิดต้นทุนค่าเสียโอกาส (Opportunity
cost) เกิดขึ้น เช่น
สมมติว่าเราต้องเลือกว่าจะไปชมภาพยนตร์หรือไปดูกีฬา หากเราเลือกชมภาพยนตร์
ต้นทุนค่าเสียโอกาสคือประโยชน์หรือความพอใจจากการได้ดูกีฬานั่นเอง
และหากเป็นการตัดสินใจของนายกฯด้วยแล้ว
ต้นทุนค่าเสียโอกาสคงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพียงการไม่ได้ไปดูหนังฟังเพลง
แต่หมายถึงการสูญเสียของผลประโยชน์ของชาติ นายกฯมีทางเลือกในการทำสิ่งต่าง ๆ
อยู่หลายทาง แต่ละทางล้วนมีมูลค่าของผลประโยชน์มหาศาล และประการสำคัญคือ
หากตัดสินใจผิดทิ้งทางเลือกที่ดีที่สุดไป
ต้นทุนค่าเสียโอกาสอันมหาศาลนั้นไม่ได้ตกอยู่กับท่านนายกฯ เพียงคนเดียว
แต่ตกอยู่กับคนทั้งประเทศ
คราวนี้เราลองมาวิเคราะห์ต้นทุนของการทำเรียลลิตี้โชว์ครั้งนี้ว่าประกอบด้วยอะไรบ้าง
เนื่องจากการคิดต้นทุนดังกล่าว เราต้องคิดจากต้นทุนค่าเสียโอกาส คือ
มูลค่ารวมของผลประโยชน์ทั้งหมดที่ต้องเสียไปจากการทำเรียลลิตี้แก้จน
ซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ
คือต้นทุนโดยตรงซึ่งเป็นต้นทุนที่จ่ายเป็นตัวเงินจริง ๆ
และต้นทุนแฝงซึ่งไม่ได้เสียเป็นตัวเงิน
แต่เป็นมูลค่าของผลประโยชน์ที่ต้องเสียไปจากการตัดสินใจทำรายการนี้
ต้นทุนโดยตรง ประกอบด้วย ค่าเดินทางของนายกฯ
รัฐมนตรี และผู้ติดตามทั้งหลาย เบี้ยเลี้ยงของผู้ติดตามต่าง ๆ ค่าพาหนะ ธนบัตรใบละพัน
ที่นายกฯ เตรียมไว้แจกให้ชาวบ้านฯ
ค่าเลี้ยงต้อนรับที่ข้าราชการระดับท้องถิ่นจัดเตรียมเพื่อรับรองคณะของนายกฯ
ตลอดจนค่าใช้จ่ายในการออกอากาศของยูบีซี (แม้ว่าต้นทุนจะไม่ตกกับรัฐโดยตรง)
รวมทั้งค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำและเตรียมงานต่าง ๆ
ต้นทุนแฝง คือ
ค่าเสียโอกาสของชาวบ้านในการทำมาหากิน เช่น การห้ามขายของ อาหาร ส้มตำ ลูกชิ้นปิ้ง
ห้ามต้อนวัวต้อนควาย และค่าเสียโอกาสจากการที่นายกฯ และ รมต.ทั้งหลายจะได้ทำงานเพื่อการคิดนโยบายและแก้ปัญหาในระดับภาพรวมของประเทศ
เช่น การแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างที่มีผลต่อการกระจายรายได้และแก้ปัญหาความยากจน
การแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชันที่ทำให้งบประมาณไปไม่ถึงคนยากจน
การพัฒนาความเข้มแข็งของชุมชนและการกระจายอำนาจการปกครองส่วนท้องถิ่น
เพื่อให้ประชาชนพึ่งพาตนเองมากขึ้น มิใช่รอคอยความช่วยเหลือจากรัฐเท่านั้น เป็นต้น
ดังนั้นแม้พิจารณาแบบผิวเผิน ต้นทุนในการจัดเรียลลิตี้แก้จนนี้จะไม่ได้มากมายเท่าใดนักในรูปตัวเงิน
แต่หากคิดต้นทุนค่าเสียโอกาสในแบบเศรษฐศาสตร์แล้ว
จะเห็นได้ว่าเราต้องเสียอะไรไปมากมายจากรายการเรียลลิตี้โชว์ครั้งนี้
ยิ่งไปกว่านั้น
หากการลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการได้เรียนรู้วิธีการทำงานตามที่คาดหวังไว้แล้ว
หรือการโชว์ครั้งนี้ไม่ใช่วิธีที่จะแก้ปัญหาความยากจนได้อย่างแท้จริงแล้ว
ยิ่งทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าผลประโยชน์ที่ได้รับอาจไม่คุ้มกันกับต้นทุนที่ต้องเสียไปจาก
เรียลลิตี้ อคาเดแม้ว
แล้วใครจะรับผลจากการขาดทุนนี้ ---
ก็คือประชาชนไทยตาดำๆ
ที่นั่งเฝ้าดูรายการนี้ไงครับ