เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อวันที่
7
สิงหาคมที่ผ่านมา
คุณปณิธาน
ยามวินิจ
ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สภาพัฒน์)
ได้กล่าวในที่ประชุมเชิงปฏิบัติการของสำนักงานสภาการศึกษา
กระทรวงศึกษาฯ
ว่า
“ในอีก
5
ปีข้างหน้า
นับตั้งแต่ปี
2549
จะมีการผลิตกำลังคนระดับปริญญาตรี
ปวส.
ปวช.
ออกมาทั้งหมด
2.3
ล้านคน
แต่อุตสาหกรรมหลัก
13
สาขา
ต้องการแค่
300,000
คน
ที่เหลืออีก
2
ล้านคน
เป็นแรงงานเกินความต้องการ
ต้องไปหางานอย่างอื่นที่ต่ำกว่าวุฒิการศึกษา”
ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนให้เห็นอีกครั้งหนึ่งถึงความไม่สอดคล้องระหว่าง
การผลิตกำลังคนกับความต้องการของตลาดแรงงาน
โดยเป็นความไม่สอดคล้องทั้งใน
“เชิงปริมาณ”
และ
“คุณภาพ”
แรงงานล้นตลาดในบางสาขา
แต่กลับขาดแคลนในบางสาขา
และแรงงานส่วนหนึ่งต้องทำงานต่ำกว่าวุฒิการศึกษา
หรือมิเช่นนั้นก็ต้องรับสภาพตกงานเป็นเวลานาน
ที่ผ่านมา
รัฐบาลได้ส่งเสริมให้ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง
ในระดับที่สูงขึ้น
โดยมีแนวคิดว่า
การที่คนยากจนนั้น
ส่วนหนึ่งเนื่องมาจากได้รับการศึกษาน้อย
การแก้ปัญหาจึงส่งเสริมให้เด็กทุกคนมีโอกาสได้รับการศึกษา
โดยนอกจากให้เรียนฟรีจนถึงระดับมัธยมแล้ว
ยังส่งเสริมให้คนเข้าสู่การอุดมศึกษาโดยตั้งเป้าให้เด็กไทยเรียนถึงระดับอุดมศึกษาไม่ต่ำกว่าร้อยละ
50
ของนักเรียนทั้งหมด
โดยไม่ได้วางแผนด้านกำลังแรงงาน
เช่น
ให้มหาวิทยาลัยกำหนดจำนวนรับนักศึกษาตามความต้องการของมหาวิทยาลัย
และส่งเสริมด้วยกองทุนให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา
ที่ผูกกับรายได้อนาคต
(ICL)
ส่งผลให้มีเด็กเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษามากขึ้น
แนวคิดดังกล่าวสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลว
เพราะมองเพียงด้านเดียว
โดยไม่ได้พิจารณาหาแนวทางและวิธีป้องกันปัญหาแรงงานล้นตลาด
ไม่ได้ปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
เพื่อให้เกิดการจ้างงานที่สอดคล้องกับจำนวนแรงงาน
แนวโน้มปัญหาการตกงานในอนาคตย่อมมีมากขึ้นอย่างไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้
หรืออาจเรียกได้ว่า
ยิ่งเรียนสูง
ยิ่งว่างงาน
ยิ่งยากจน
ปัญหานี้นับเป็นปัญหาเร่งด่วนที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไข
ซึ่งหากพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นพรรคร่วมรัฐบาล
ไม่เพียงแต่ทำให้เด็กไทยทุกคนได้เรียนฟรีอย่างมีคุณภาพ
12
ปี
ตามที่ท่านหัวหน้าพรรคได้ประกาศในวาระประชาชนไปแล้ว
ในส่วนของการศึกษาในระดับที่สูงขึ้น
เราจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ
โดยทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจภาคต่าง
ๆ
จะต้องมีความชัดเจน
เพื่อให้สามารถวางแผนผลิตบุคคลากรในสัดส่วนที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงานในอนาคต
ที่สำคัญ
คุณภาพของบุคลากรจะต้องได้มาตรฐาน
การศึกษาในทุกระดับชั้นจะต้องมีคุณภาพ
ผู้เรียนทุกคนจะได้รับการส่งเสริมทักษะการคิดริเริ่มสร้างสรรค์
ทักษะด้านเทคโนโลยี
และทักษะด้านภาษา
สถาบันการศึกษาและคณาจารย์ต้องไม่แยกตัวออกจากสังคม
แต่เชื่อมโยงกับภาคอุตสาหกรรม
ธุรกิจและบริการ
เพื่อให้ไม่เกิดช่องว่างระหว่างสถาบันอุดมศึกษากับโลกของงาน
อันจะทำให้สมารถผลิตแรงงานที่มีทั้งปริมาณและคุณภาพ
เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานทั้งในระดับประเทศและแข่งขันได้ในระดับโลก
ความล้มเหลวในการพัฒนาคน
สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนยิ่งตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องเร่งแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจังและรอบคอบ
โดยคณะรัฐบาลที่มีความจริงใจและมีความปรารถนาดีต่ออนาคตของเด็กและเยาวชนรุ่นต่อไปอย่างแท้จริง
|