วาทะร้อนทางการเมืองเรื่อง
“บุคคลที่มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ”
ยังไม่ทันจะจบลง
จดหมายเพื่อชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองที่รักษาการนายกรัฐมนตรีของไทยส่งถึงประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกากลายเป็นประเด็นที่ทำให้อุณหภูมิทางการเมืองร้อนระอุมากขึ้นอีก
และทำให้เกิดการแสดงความคิดเห็นในประเด็นต่าง
ๆ
อย่างกว้างขวาง
อาทิ
ความเหมาะสมและความจำเป็นในการส่งจดหมายชี้แจงสถานการณ์การเมืองไปยังประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ความเหมาะสมของเนื้อหาของจดหมายที่ออกมาในเชิงปกป้องตนเอง
และพยายามกล่าวโทษกลุ่มอื่น
ๆ
ว่าเป็นฝ่ายทำลายประชาธิปไตย
มากกว่าจะเป็นการชี้แจงสถานการณ์ภาพรวมที่เกิดขึ้นตามข้อเท็จจริง
แม้โฆษกรัฐบาลได้ออกมาชี้แจงว่า
การส่งจดหมายชี้แจงจากผู้นำประเทศถึงผู้นำประเทศเป็นเรื่องปกติทางการทูต
แต่ในสถานการณ์ขณะนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดา
เพราะการเมืองอยู่ในช่วงวิกฤตและพร้อมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
มีความพยายามให้เกิดการแบ่งฝ่าย
เลือกข้าง
และดึงมวลชนเป็นฐานเสียง
โดยใช้ทุกกลยุทธ์ต่าง
ๆ
เพื่อทำให้เกิดความได้เปรียบทางการเมือง
ในสถานการณ์เช่นนี้
ทุกก้าวย่างของรักษาการนายกฯ
จึงเป็นที่จับตามองของประชาชน
ผมตั้งข้อสังเกตว่า
การส่งจดหมายชี้แจงสถานการณ์ทางการเมืองในครั้งนี้
เป็นมากกว่าการชี้แจงสถานการณ์ทางการเมือง
แต่เป็นการหาเสียงสนับสนุนจากต่างชาติ
เพื่อปกป้องและยืนยันการกระทำของรักษาการนายกฯ
ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง
เพราะเสียงสนับสนุนภายในประเทศเริ่มลดน้อยลง
ยิ่งไปกว่านั้น
ยังทำให้ผมเกิดคำถามว่า
เหตุใดรักษาการนายกฯ
จึงต้องดึงต่างประเทศเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมืองในประเทศ
เป็นไปได้หรือไม่ที่รักษาการนายกฯ
อาจกำลังต่อสู้ประลองกำลังกับอำนาจที่เหนือกว่าตน
เมื่อประเมินกำลังแล้วยากที่ตนจะชนะได้
จึงต้องดึงอำนาจจากภายนอกประเทศเข้ามาเป็นพวก
เพื่อเพิ่มอำนาจและสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง
เพราะแม้แต่ประเทศมหาอำนาจที่เป็นแม่แบบทางประชาธิปไตยยังเห็นด้วยกับแนวทางการดำเนินการของรัฐบาลไทย
อย่างไรก็ตาม
ท่าทีของประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ที่แสดงออกผ่านจดหมายที่ตอบกลับมามีลักษณะเป็นกลาง
ไม่ได้แสดงความเห็นด้วยหรือสนับสนุนในสิ่งที่รัฐบาลรักษาการดำเนินการ
แต่กลับเป็นการส่งสัญญาณว่า
ทางการสหรัฐฯ
ไม่เห็นว่าสถานการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องผิดปกติหรือทำลายประชาธิปไตย
จดหมายฉบับดังกล่าวจึงไม่ทำให้เกิดความได้เปรียบทางการเมืองแต่อย่างใด
แต่กระนั้น
การที่สหรัฐฯ
จะให้การสนับสนุนหรือเห็นด้วยกับรัฐบาลไทยว่า
ประชาธิปไตยไทยกำลังถูกบ่อนทำลายหรือไม่นั้น
เหตุผลสำคัญไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ประชาธิปไตยของไทยว่าจะเป็นอย่างไร
เท่ากับการที่สหรัฐฯ
เห็นผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจจากการเข้ามาแทรกแซงการเมืองไทย
ดังกรณีที่สหรัฐฯ
บุกอิรัก
เหตุผลที่แท้จริงไม่ใช่เรื่องการสร้างประชาธิปไตยในอิรัก
แต่คือผลประโยชน์ในเรื่องน้ำมัน
เป็นหลัก
ผมจึงมีความสงสัยว่า
สหรัฐฯ
อาจจะไม่พึงพอใจกับผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการแสดงท่าทีเห็นด้วยกับรัฐบาลไทยหรือไม่
หรืออาจจะเป็นเพราะไม่สามารถตกลงในการเจรจาต่อรองผลประโยชน์ซึ่งไม่ปรากฏในจดหมายหรือไม่
อาทิ
การให้สิทธิพิเศษในเขตเศรษฐกิจพิเศษ
หรือผลประโยชน์ในการเจรจาเขตการค้าเสรีไทย-สหรัฐ
ฯลฯ
สถานการณ์ของรักษาการนายกฯ
ในขณะนี้
อยู่ในภาวะที่พยายามหาทางออกทางการเมืองในทุกวิถีทาง
แต่ทางออกของรักษาการนายกฯ
จะเป็นอย่างไร
เป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายต่างจับตามอง
แต่ที่แน่
ๆ
ผมคิดว่าเป็นเรื่องยากที่รักษาการนายกฯ
จะกลับมาบริหารประเทศได้อีกครั้ง