เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากการประชุมร่วมระหว่างคณะกรรมการการเลือกตั้งกับพรรคการเมือง
20 พรรค
เสียงส่วนใหญ่คือ
13
พรรค(พรรคไทยรักไทยงดออกเสียง)
มีมติให้มีการเลือกตั้งวันที่
22
ต.ค.
49
โดยจะออกเป็นพระราชกฤษฎีกาในวันที่
24
ส.ค.
เปิดรับสมัคร
ส.ส.บัญชีรายชื่อในวันที่
29-31
สิงหาคม และรับสมัคร
ส.ส.ระบบเขตในวันที่
1 5
กันยายน
ศกนี้
หาก ครม.เห็นชอบตามมติของที่ประชุม
กกต.
ผมคิดว่าจะมีปรากฏการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่สำคัญตามมา
ดังนี้
จะเกิดความพยายามย้ายพรรคของ
ส.ส.
บางส่วน
เพราะการกำหนดให้มีการเลือกตั้งวันที่
22
ตค.
49
และกำหนดวันรับสมัครเลือกตั้งดังกล่าวข้างต้น
ทำให้เกิดการปลดล็อค
ม.107
(4)
แห่งรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า
ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมือง
90
วันก่อนวันรับสมัครเลือกตั้ง
ทำให้การเมืองนับจากนี้จนถึงวันที่
31 พ.ค.
49
ซึ่งเป็นเส้นตาย
90
วันก่อนวันรับสมัครเลือกตั้ง
จะเกิดความพยายามย้ายพรรคและจะมีเงินสะพัดเป็นจำนวนมาก
เพราะแกนนำพรรคการเมืองขนาดใหญ่จะต้องใช้เงินจำนวนมาก
เพื่อรักษาจำนวน
ส.ส.ในพรรคเอาไว้
ที่ผ่านมามีการวิเคราะห์ว่า
แกนนำพรรคขนาดใหญ่จะไม่ออกทุนมาก
เพราะการเว้นวรรคทางการเมือง
จะทำให้ตนเองไม่ได้ประโยชน์มากนัก
และจะทำให้หัวหน้ามุ้งแต่ละมุ้งจะต้องออกเงินกันเองในการเลือกตั้งครั้งนี้
แต่หากสถานการณ์เปลี่ยนไป
หัวหน้าพรรคขนาดใหญ่คงต้องทุ่มทรัพยากรเพื่อรักษาฐาน
ส.ส.ไว้
นอกจากนี้
ผมสังเกตว่าเหตุที่พรรคไทยรักไทยงดออกเสียงในการกำหนดการเลือกตั้งครั้งนี้เพราะพรรคไทยรักไทยเสียประโยชน์
เนื่องจากมีกระแสการกระเพื่อมออกมาว่า
ส.ส.ในสังกัดจะย้ายพรรคจำนวนมาก
อาทิ
กลุ่มวังน้ำเค็ม
(สนธยา
คุณปลื้ม)
กลุ่มลำตะคอง
(สุวัจน์)
กลุ่มวังพญานาค
(พินิจ
จารุสมบัติ)
รักษาการนายกรัฐมนตรีจะยกเลิกการเว้นวรรค
เนื่องจากการที่
พ.ต.ท.ทักษิณ
ชินวัตร
เว้นจากการเป็นนายกฯ
ในการเลือกตั้งครั้งใหม่
จะทำให้พรรคไทยรักไทยน่าจะอยู่ในสภาพที่แย่กว่าการที่รักษาการนายกฯประกาศเป็นตัวเลือกนายกฯ
เพราะจะทำให้ประชาชนที่เลือกไทยรักไทยเพราะชื่นชอบในตัว
พ.ต.ท.ทักษิณ
อาจตัดสินใจไปเลือกพรรคอื่น
เพราะไม่รู้จักคนที่พรรคจะยกชูให้เป็นตัวแทนของ
พ.ต.ท.ทักษิณ
ในการเลือกตั้งใหม่
แม้ว่าพรรคไทยรักไทยน่าจะยังได้จำนวน
ส.ส.มากกว่าพรรคอื่น
ๆ
แต่หากหัวหน้าพรรคประกาศเว้นวรรค
ประกอบกับการย้ายพรรคของมุ้งต่าง
ๆ ในพรรค
อาจทำให้มีความเสี่ยงที่พรรคไทยรักไทยจะได้
ส.ส.ไม่ถึงกึ่งหนึ่งของสภา
และส่งผลทำให้ไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้
หรือแย่ที่สุดอาจจะต้องกลายเป็นฝ่ายค้าน
ด้วยเหตุนี้
หัวหน้าพรรคไทยรักไทยน่าจะกลับคำทางการเมือง
โดยหันมาลงเลือกตั้งพร้อมประกาศตัวเป็นนายกฯ
เพื่อรักษาฐานเสียงทางการเมืองเดิมและผนวก
ส.ส.บางกลุ่มไว้กับพรรค
ซึ่งท่าทีที่คนในพรรคไทยรักไทยได้แสดงออกมานั้นล้วนสนับสนุนความเชื่อนี้
โดยพยายามให้เหตุผลว่าเมื่อการเลือกตั้งวันที่
2
เม.ย.2549
เป็นโมฆะ
ดังนั้นคำประกาศเว้นวรรคของ
พ.ต.ท.ทักษิณ
จึงไม่จำเป็นต้องยึดมั่นต่อไปอีก
จะเกิดพรรคการเมืองใหม่
ๆ
ระยะเวลาก่อนการรับสมัครเลือกตั้งถึง
90
วันจะเปิดโอกาสให้เกิดพรรคการเมืองใหม่และนักการเมืองหน้าใหม่จำนวนหนึ่ง
ที่มีโอกาสสูงที่จะแทรกเข้ามามีบทบาทในสภาผู้แทนราษฎรในสมัยหน้า
พรรคการเมืองใหม่อาจจะเป็นการรวมตัวของนักการเมืองเก่าที่แยกตัวออกจากพรรคไทยรักไทยและอดีตพรรคฝ่ายค้านเดิม
เช่น
พรรคประชาราษฎร์ของคุณเสนาะ
เทียนทอง
พรรคของ
ร.ต.อ.เฉลิม
อยู่บำรุง
หรือแม้แต่พรรคของคุณชูวิทย์
กมลวิศิษฎ์
เป็นต้น
รวมทั้งพรรคการเมืองใหม่ที่เป็นการรวมตัวกันของนักการเมืองหน้าใหม่
(ร่วมกับนักการเมืองเก่าบางส่วน)
ซึ่งพรรคการเมืองที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง
คือ
พรรคมุสลิมที่จะพยายามจะหาคะแนนเสียงจากประชาชนใน
4
จังหวัดภาคใต้
หรือพรรคที่อาจจะเกิดขึ้นจากการรวมตัวของรักษาการสมาชิกวุฒิสภา
ที่มีฐานเสียงขนาดใหญ่คือกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่สนับสนุนการขับไล่นายกฯทักษิณ
นอกจากนี้ยังอาจจะเกิดพรรคการเมืองใหม่ที่ผันตัวเองมาจากกลุ่ม
77
ซึ่งเป็นกลุ่มนักวิชาการที่มี
ดร.เอนก
เหล่าธรรมทัศน์เป็นแกนนำ
สถานการณ์การเมืองที่ผ่านมา
ทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งรู้สึกเบื่อกับการเมืองและพรรคการเมืองที่มีอยู่
การเกิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่
ๆ
จะทำให้การแข่งขันทางการเมืองในการเลือกตั้งวันที่
22
ต.ค.
2549
มีความน่าสนใจมากขึ้นและทำให้ประชาชนมีทางเลือกมากขึ้น
และมีความเป็นไปได้สูงอย่างยิ่งที่จะเกิดการแตกกระจายของคะแนนเสียงเลือกตั้ง
และทำให้เกิดรัฐบาลใหม่ที่มาจากหลายพรรคการเมือง
แม้การมีรัฐบาลผสมจะมีจุดด้อยในเรื่องเสถียรภาพทางการเมือง
แต่ในภาวะที่รัฐบาลใหม่เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจที่มีหน้าที่เพื่อการปฏิรูปการเมือง
การมี ส.ส.จากพรรคการเมืองที่หลากหลายน่าจะเป็นผลดี
เพราะจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีมุมมองรอบด้านและมีความรอบคอบมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม
โอกาสที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองดังกล่าวเป็นไปได้ยากยิ่ง
เพราะผู้ที่มีอำนาจในปัจจุบันย่อมหวงอำนาจและไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลง
เห็นได้ชัดจากการที่
ครม.เลื่อนการพิจารณามติของ
กกต.ในการกำหนดวันเลือกตั้งใหม่
โดยอ้างเพียงว่า
กกต.ยังไม่ส่งมติดังกล่าวให้
ครม.อย่างเป็นทางการ
|