ในรายการนายกทักษิณคุยกับประชาชน
รักษาการนายกรัฐมนตรีอ้างว่า
ประธานาธิบดีรัสเซียเสนอให้ไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานโดยจะนำน้ำมันและก๊าซมาไว้ที่ไทย
ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยซื้อพลังงานได้ในราคาต่ำลงกว่าประเทศอื่น
และทำให้บริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย
จำกัด
(มหาชน)
หรือ ปตท.มีกำไรและมีรายได้กลับสู่รัฐ
รวมทั้งจะทำให้ได้เรียนรู้และเกิดการพัฒนาด้านพลังงานมากยิ่งขึ้น
นโยบายศูนย์กลางพลังงานมิได้เพิ่งเกิดขึ้น
แต่รัฐบาลทักษิณ
1
ได้เคยประกาศว่าจะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการค้าน้ำมันของภูมิภาค
โดยมีโครงการสำคัญคือ
การจัดตั้งศูนย์การค้าน้ำมันที่ศรีราชา
และสร้างท่อขนส่งน้ำมันเชื่อมระหว่างชายฝั่งทะเลตะวันออก-ตะวันตก
(Strategic
Energy
Landbridge)
เพื่อเชื่อมโยงกลุ่มประเทศผู้ผลิตพลังงานในตะวันออกกลาง
กับกลุ่มประเทศผู้นำเข้าพลังงานในเอเชียตะวันออก
เมื่อพิจารณาจากภูมิศาสตร์
ประเทศไทยถือว่ามีความเหมาะสมในการเป็นศูนย์กลางการค้าพลังงานในภูมิภาคนี้
เนื่องจากอยู่ศูนย์กลางระหว่างผู้ส่งออกและผู้นำเข้าน้ำมัน
ไทยยังมีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่พร้อมต่อการนำเข้าและส่งออกพลังงานและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม
และมีโรงกลั่นน้ำมันที่มีกำลังผลิตสูง
แม้ว่าประเทศสิงคโปร์ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าพลังงานในปัจจุบัน
มีความได้เปรียบในแง่ที่ตั้งอยู่บนเส้นทางเดินเรือจากตะวันตกสู่ตะวันออก
แต่เส้นทางเดินเรือผ่านช่องแคบมะละกามีความแออัดมากและมีความเสี่ยงต่อภัยก่อการร้ายและโจรสลัด
ดังนั้นหากประเทศไทยสร้างท่อขนส่งน้ำมันเชื่อมระหว่างชายฝั่งทะเลตะวันออก-ตะวันตกได้
จะทำให้ไทยมีโอกาสเป็นศูนย์กลางการค้าพลังงาน
เพราะระยะทางการขนส่งน้ำมันสั้นลงและมีความปลอดภัยมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม
ยุทธศาสตร์การผลักดันให้ประเทศไทยศูนย์กลางการค้าพลังงานของภูมิภาคดังกล่าว
ได้ถูกท้าทายโดยยุทธศาสตร์ความมั่นคงทางพลังงานของจีน
ซึ่งกำลังก่อสร้างเส้นทางขนส่งพลังงานเส้นใหม่จากพม่าและปากีสถานเข้าสู่ประเทศจีน
เมื่อหันมาพิจารณาแนวคิดในการทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงาน
โดยการนำน้ำมันและก๊าซที่ขุดเจาะได้ในประเทศรัสเซียมาไว้ที่ประเทศไทย
แม้รูปแบบการดำเนินการยังไม่ชัดเจน
แต่น่าจะเป็นการวางท่อส่งน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียมายังประเทศไทย
เพื่อทำการกลั่นและส่งออกไปยังประเทศผู้นำเข้าพลังงาน
ด้วยแนวคิดเช่นนี้
ผมคิดว่ามีความไม่สมเหตุสมผลอย่างยิ่ง
ประเทศรัสเซียมีความต้องการส่งออกพลังงานของตนเองไปยังภูมิภาคต่าง
ๆ
เพราะรัสเซียอุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ
และมีกำลังการผลิตที่เกินกว่าความต้องการในประเทศ
สภาพยุโรปจึงเป็นเป้าหมายสำคัญที่รัสเซียต้องการเข้าไปเปิดตลาดพลังงาน
อีกกลุ่มประเทศหนึ่งที่เป็นเป้าหมายของรัสเซียคือเอเชียตะวันออก
เนื่องจากเป็นกลุ่มประเทศที่มีความต้องการบริโภคพลังงานเป็นจำนวนมาก
โดยเฉพาะจีนที่มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว
และต้องการนำเข้าน้ำมันสูงขึ้นมาก
จนทำให้ราคาน้ำมันโลกเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
คำถามคือ
มีเหตุใดที่จูงใจใดที่ทำให้รัสเซียต้องนำน้ำมันและก๊าซมาไว้ที่ประเทศไทย
ในเมื่อประเทศผู้นำเข้าพลังงานรายใหญ่ของภูมิภาคนี้คือจีน
ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้
ซึ่งเป็นประเทศอุตสาหกรรมและมีการขยายทางเศรษฐกิจสูง
ทำไมรัสเซียไม่ทำท่อส่งน้ำมันและก๊าซเข้าประเทศเหล่านี้โดยตรง
ทั้ง ๆ
ที่มีระยะทางสั้นกว่า
คำตอบคือ
ไม่มีเหตุผลที่รัสเซียจะทำท่อขนส่งน้ำมันผ่านประเทศต่าง
ๆ
เข้ามาประเทศไทยเพื่อทำการกลั่น
แล้วขนส่งย้อนกลับไปจำหน่ายที่กลุ่มเอเชียตะวันออกอีก
เพราะสิ้นเปลืองต้นทุนการขนส่ง
การที่รัสเซียจะนำน้ำมันและก๊าซมายังประเทศไทยเพื่อส่งออกไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนนั้น
ไม่สมเหตุสมผลอีกเช่นกัน
เพราะประเทศในกลุ่มอาเซียนส่วนหนึ่งเป็นประเทศที่มีแหล่งพลังงานของตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย
มาเลเซีย
บรูไน
พม่า
หรือแม้แต่เวียดนามที่เริ่มมีการค้นพบแหล่งพลังงานมากขึ้น
ขณะที่สมาชิกอาเซียนอีกส่วนหนึ่งยังมีความต้องการใช้พลังงานน้อยมาก
ส่วนการที่รักษาการนายกฯอ้างว่า
การนำน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียมาไว้ที่ประเทศไทย
จะทำให้ประเทศไทยซื้อพลังงานได้ในราคาถูกกว่าประเทศอื่นนั้น
มีความไม่สมเหตุสมผล
เนื่องจากการก่อสร้างท่อขนส่งน้ำมันและก๊าซจากรัสเซียมายังประเทศไทยมีระยะทางที่ค่อนข้างไกล
ทำให้มีต้นทุนสูงมาก
ดังนั้นปริมาณการขนถ่ายน้ำมันและก๊าซผ่านท่อดังกล่าวจะต้องมีจำนวนมากพอจึงจะคุ้มทุน
แต่จากเหตุผลที่กล่าวข้างต้นว่า
ความต้องการนำเข้าพลังงานในภูมิภาคอาเซียนไม่สูงมากนัก
จึงอาจทำให้โครงการนี้ยังไม่คุ้มค่าในการลงทุน
ยิ่งไปกว่านั้น
หากเปรียบเทียบการทำท่อขนส่งก๊าซธรรมชาติจากรัสเซียมายังประเทศไทย
กับการขนส่งก๊าซจากพม่าหรือบรูไนเข้ามายังประเทศไทย
กรณีหลังน่าจะมีต้นทุนที่ต่ำกว่าเนื่องจากมีระยะทางการขนส่งที่ใกล้กว่า
ส่วนการทำท่อขนส่งน้ำมันจากรัสเซียมายังประเทศไทยนั้น
จำเป็นต้องมีการศึกษาเพื่อเปรียบเทียบกับต้นทุนการขนส่งน้ำมันทางเรือจากตะวันออกกลางมาประเทศไทยเสียก่อน
จึงจะพูดได้ว่าประเทศไทยจะสามารถซื้อน้ำมันได้ในราคาต่ำกว่าประเทศอื่น
นี่ยังไม่ได้รวมถึงกรณีที่
ปตท.
(ซึ่งมีเอกชนถือหุ้นอยู่เกือบครึ่ง)
เป็นผู้ผูกขาดท่อก๊าซและน้ำมัน
ยิ่งทำให้โอกาสที่คนไทยจะได้ใช้พลังงานในราคาถูก
คงจะเป็นไปได้ยากยิ่ง