เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
"ความพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ทุกคนทุกฝ่ายแสดงให้เห็นทำให้ข้าพเจ้าระลึกถึงคุณธรรมข้อหนึ่งที่อุปถัมภ์และผูกพันให้คนไทยรวมเป็นเอกภาพ
สามารถธำรงชาติบ้านเมืองให้มั่นคงเป็นอิสระยั่งยืนมาช้านาน
คุณธรรมข้อนั้นก็คือ
ไมตรี
ความมีเมตตา
หวังดีให้กันและกัน
ผู้ที่มีไมตรีต่อกัน
จะคิดอะไรก็คิดแต่ในทางสร้างสรรค์มีคุณประโยชน์ร่วมมือกัน
จะพูดอะไรก็ใช้เหตุผลเจรจากัน
คือ
ความเข้าอกเข้าใจกัน
จะทำอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ด้วยความมุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน
ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายได้พิจารณาทบทวนให้ทราบและตระหนักแก่ใจอีกครั้งหนึ่งว่า
ในกาย
ในใจของคนไทยเรายังมีคุณธรรมข้อนี้อยู่หนักแน่นพร้อมมูลเพียงใด
จะได้มั่นใจว่าเราจะสามารถรักษาประเทศชาติและความเป็นไทยของเราไว้ด้วยอย่างยืนยาวตลอดไป......"
พระราชดำรัสข้างต้น
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ได้พระราชทานพระราชดำรัสตอบภายหลังรับการถวายพระพรชัยมงคล
เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา
6
รอบ
เมื่อวันที่
4
ธันวาคม
2542
พระราชดำรัสดังกล่าวแม้จะเป็นเพียงข้อความสั้น
ๆ
และพระราชทานไว้หลายปีแล้ว
แต่เมื่อพิจารณาในเนื้อหาสาระแล้วมีความสำคัญยิ่ง
พระองค์ทรงชี้ให้เห็นว่า
การดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของประเทศชาติจำเป็นต้องมีคุณธรรมที่สำคัญ
นั่นคือ
ความมีไมตรีจิต
ความมีเมตตา
ความหวังดีต่อกัน
การช่วยเหลือกันและมุ่งหมายให้เกิดความเจริญร่วมกัน
เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ
60
ปีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ผมขอเชิญชวนให้มิตรสหายทุกท่านรับสนองพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
ในข้อนี้
พร้อม ๆ
กับน้อมรับพระราชดำรัสที่พระราชทานเมื่อวันที่
12
มิถุนายน
พ.ศ.2549
ที่ผ่านมาว่า
การทำงานเพื่อประเทศชาตินั้นไม่ใช่หน้าที่ของผู้หนึ่งผู้ใดโดยเฉพาะ
แต่เป็นหน้าที่ของทุกคนต้องขวนขวายทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด
เพื่อธำรงรักษาพัฒนาบ้านเมือง
เราทุกคนควรน้อมนำพระราชดำรัสของพระองค์มาย่อยลงสู่ภาคปฏิบัติในชีวิต
เป็นเหมือนของขวัญที่มอบถวายแด่พระองค์
นักการเมือง
ควรเป็นแบบอย่างในการสร้างภาพแห่งไมตรีจิตระหว่างกันแทนการทะเลาะวิวาทขัดแย้งกันแบบไม่สร้างสรรค์ซึ่งย่อมไม่ก่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศชาติแต่ควรถกจุดยืนความแตกต่างได้อย่างเอาประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง
สื่อมวลชน
ควรเป็นแบบอย่างในการสร้างไมตรีจิตในความเป็นไทย
ด้วยการวิพากษ์อย่างสร้างสรรค์
แทนการวิพากษ์ที่เผ็ดร้อนรุนแรงซึ่งในที่สุดย่อมนำมาซึ่งความแตกแยกระหว่างกัน
คนไทยทุกคน
ควรเชื่อมั่นว่า
ความสามัคคีคือพลัง
และการมีไมตรีจิตระหว่างกันนั้นก็คือเส้นทางที่จะนำไปสู่ความสามมัคีของคนในชาติ
หากคนกลุ่มต่าง
ๆ
ในสังคม
เชื่อมต่อกันไว้ด้วยสายใยแห่งไมตรีจิต
ไม่มองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นศัตรู
ไม่มองความแตกต่างเป็นความแตกแยก
แต่มองว่าทุกคนในชาติสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาชาติได้
ประเทศไทยก็จะมีพลังในการพัฒนาได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่
ไม่เป็นสังคมที่คนทำดีท้อแท้
หรือเป็นสังคมของคนที่มีอำนาจ
มีกำลังทรัพย์เท่านั้น
พระราชดำรัสสำคัญที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอย่างสม่ำเสมอในที่ต่าง
ๆ
ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยให้ประชาชนในชาติเรียนรู้ที่จะรักสามัคคี
โดยทรงตระหนักว่า
ประเทศชาติจะไม่สามารถอยู่รอดได้หากประชาชนภายในชาติมีความแตกแยก
แบ่งฝักแบ่งฝ่าย
ไม่สามัคคีปรองดองกัน
เราคนไทยไม่ว่าจะอยู่ฝ่ายใดจึงควรใช้หลักหันหน้าเข้าหากัน
ช่วยเหลือกันและกัน
เพื่อให้พระราชดำรัสนี้ให้เกิดขึ้นเป็นค่านิยมใหม่ในสังคมไทย
และทุกคนควรมีส่วนร่วมพัฒนาประเทศชาติให้เจริญยั่งยืนในทุก
ๆ ด้าน
|