เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ร่าง พ.ร.บ.ศาลภาษีอากร
ยังต้องทบทวนในเรื่องความครบถ้วน
ทั้งการพิจารณาคดีความแพ่งและอาญาในมาตราที่เกี่ยวข้อง
ป้องกันความลักลั่นในการตีความ และเลือกปฏิบัติ
ผมได้เข้าร่วมเป็นคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร
(ฉบับที่.. )
พ.ศ.
.
ซึ่งขณะนี้ได้อยู่ในขั้นที่วุฒิสภากำลังพิจารณา
โดยภาพรวมผมเห็นด้วยกับหลักในการแก้ไขเพิ่มเติมร่าง พ.ร.บ.
ฉบับนี้ที่ให้เพิ่มอำนาจให้ศาลภาษีอากร
สามารถพิพากษาคดีได้ทั้งทางแพ่ง
และทางอาญาที่เกี่ยวกับภาษีอากร
ทั้งนี้ยังมีบางส่วนผมยังเห็นแตกต่างกับร่างของ
กมธ.
คือ มีบางประเด็นที่ไม่ครบถ้วน
ประเด็นหนึ่งที่ผมมีข้อสังเกตคือ
เรื่องการขอสืบพยานหลักฐานล่วงหน้าก่อนวันนัดสืบพยานหรือก่อนฟ้องคดี
ในมาตรา
17/2
ผมเห็นว่ามาตราดังกล่าวเป็นการหยิบถ้อยคำมาจาก
มาตรา
101
แห่งวิธีพิจารณาความแพ่ง
แต่กลับไม่ได้หยิบมาทั้งหมด
คือในส่วนวรรคที่
3
ของมาตรา
101
ไม่ได้ถูกนำมาใช้ประกอบในร่าง พ.ร.บ.
นี้ด้วย
ทำให้ ม. 17/2ในร่างของ
กมธ.
ยังขาดวิธีการพิจารณาความอาญา ซึ่งอาจสร้างปัญหาหากต้องมีการตีความในกรณีคดีอาญา
โดยเฉพาะใน ม.17/2
ตามร่างของ กมธ.นี้มีคำว่า
พยานหลักฐาน
ซึ่งเป็นคำที่กว้าง อาจหมายถึงพยานเอกสาร หรือพยานบุคคลก็ได้
อาจเกิดความลักลั่นในการตีความ และนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ
เนื่องจากธรรมชาติของการพิจารณาคดีทางแพ่งนั้น
จะให้น้ำหนักกับพยานเอกสารมากกว่าพยานบุคคล ดังนั้นควรระบุชัดเจนว่าให้มีการพิจารณาคดีอาญาเพิ่มลงไป
เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
นอกจากนี้การระบุชัดเจนว่า
ให้นำการสืบพยานล่วงหน้าก่อนฟ้องคดีอาญามาใส่ไว้
โดยไม่ต้องรอให้เหตุการณ์เกิดก่อนค่อยตีความและนำมาใช้อย่างที่ผ่านมานั้น
นับว่าเป็นการวางรากฐานที่ดีแก่ศาลที่เพิ่งเกิดใหม่ เช่น ศาลล้มละลาย
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ
เพราะศาลภาษีอากรซึ่งเป็นศาลที่มีอยู่ก่อนจะได้นำประสบการณ์ที่มีมากกว่า
แนวทางการดำเนินการที่ได้รับการปรับปรุงจนดีขึ้น
ครบถ้วนมากขึ้นมาเป็นแบบอย่างที่ดีต่อศาลที่เพิ่งตั้งใหม่ได้เดินตาม
ผมเห็นว่าการแก้ไขกฎหมายควรเป็นการแก้ไขเพื่อให้กฎหมายดีขึ้น
ครบถ้วนมากขึ้น และใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ
ซึ่งอยากฝากไว้เป็นข้อคิด
และคาดหวังว่าวุฒิสภาจะนำความคิดเห็นข้างต้นไปพิจารณาว่า
หากจะหยิบบัญญัติใดมาใช้ประกอบกฎหมายที่จะนำมาบังคับใช้กับประชาชนนั้น
ก็ควรนำมาให้ครบถ้วนทุกประเด็นที่เป็นสาระสำคัญ เพื่อกฎหมายจะได้ครบถ้วนสมบูรณ์ยิ่ง
และประชาชนผู้ที่เป็นเจ้าของอธิปไตยตัวจริงจะเป็นผู้ได้ประโยชน์สูงสุดจากกฎหมายเหล่านั้น
ไม่เช่นนั้นอาจเป็นช่องว่างที่ผู้ไม่หวังดีอาจใช้ในการหาประโยชน์เพื่อตนเองได้
|