เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อวันที่
9
เมษายน
2549
ที่ผ่านมา
สำนักเอแบค
โพลล์
ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ
โดยตั้งคำถามว่า
หากสามารถเลือกได้ว่าจะให้ใครมาเป็นนายกฯ
โดยที่ไม่ปิดกั้นว่าผู้นั้นจะต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือไม่
ประชาชนต้องการใครเข้ามาเป็นนายกฯ
ผลสำรวจที่ได้
คือ ร.ต.อ.ปุระชัย
เปี่ยมสมบูรณ์
เป็นคนที่ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่เลือกสูงถึงร้อยละ
34.5
จากผลสำรวจของเอแบค
โพลล์
มีคำถามที่น่าสนใจ
คือ
เหตุใดประชาชนจึงต้องการให้คุณปุระชัย
เปี่ยมสมบูรณ์
เป็นนายกฯ
มากกว่า
ดร.สมคิด
จาตุศรีพิทักษ์
ซึ่งเคยมีคะแนนมาเป็นอันดับหนึ่งจากการสำรวจความเห็น
เนื่องด้วยความสามารถโดดเด่นในการบริหารเศรษฐกิจ
ผมคิดว่ามาจากปัจจัย
2
ประการ
คือ
ประการที่
1
ประชาชนต้องการคนที่มีคุณธรรมเข้ามาเป็นนายกฯ
คุณปุระชัยเป็นบุคคลที่ประชาชนให้ความสนใจ
เพราะเป็นผู้ที่มีภาพลักษณ์ขาวสะอาด
ไม่โกงกิน
ทำงานจริงจัง
เป็นคนตรง
และไม่ยอมให้กับความไม่ถูกต้อง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
นโยบายจัดระเบียบสังคม
ที่ได้ผลักดันและตรวจตราสถานบันเทิงอย่างเข้มงวด
ยืนหยัดต่อความถูกต้อง
และบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา
จนได้ชื่อว่า
มือปราบสายเดี่ยว
ประการที่
2
ประชาชนต้องการนายกฯ
ที่ไม่ถูกครอบงำจาก
พ.ต.ท.
ทักษิณ
ชินวัตร
ในขณะที่คุณปุระชัยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม
ได้เกิดความขัดแย้งกับนายสมชาย
วงศ์สวัสดิ์
ปลัดกระทรวงยุติธรรม
ซึ่งเป็นน้องเขยของนายกฯ
ในกรณีที่คุณปุระชัยตัดงบประมาณที่เสนอโดยฝ่ายข้าราชการประจำ
จาก
2,007
ล้านบาทเหลือ
900
ล้านบาท
เนื่องจากความผิดปกติในการตั้งงบจ้างที่ปรึกษาวางระบบงานสถาบันนิติวิทยาศาสตร์จำนวน
1
คน
เป็นเงินสูงถึง
27
ล้านบาท
และงบเดินทางไปดูงานต่างประเทศของข้าราชการ
3
คนเป็นเงิน
7.5
ล้านบาท
ผลจากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้คุณปุระชัยหลุดจากตำแหน่ง
และได้ลาออกจากพรรคในเวลาต่อมา
ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า
ไม่มีใครสามารถครอบงำคุณปุระชัยได้
ปัจจัยทั้ง
2
ประการสะท้อนให้เห็นว่า
ณ
เวลานี้
ประชาชนให้ความสำคัญปัจจัยด้านคุณธรรม
มากกว่าความสามารถ
(ในเชิงเศรษฐกิจ)
เพราะต้องการคนเข้ามาปฏิรูปการเมืองของไทยให้อยู่บนพื้นฐานจริยธรรมที่ถูกต้อง
และไม่เอื้อประโยชน์ต่อกลุ่มบุคคลหนึ่งบุคคลใด
(ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าคุณปุระชัยไม่ใช่คนเก่งและคุณสมคิดไม่ใช่คนดี
แต่ทั้งสองท่านมีภาพลักษณ์ที่โดดเด่นแตกต่างกัน)
อย่างไรก็ตาม
ลักษณะนายกฯ
ที่คนไทยต้องการมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์
เช่น ในปี
2544
ประชาชนต้องการผู้นำที่มีความสามารถในการบริหารเศรษฐกิจ
เพราะเป็นช่วงที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นวิกฤตเศรษฐกิจ
ประชาชนจึงเลือกคุณทักษิณเป็นนายกฯ
เพราะเป็นคนที่มีความสามารถในการบริหารและเคยประสบความสำเร็จในธุรกิจ
โดยไม่สนใจปัญหาด้านจริยธรรมของคุณทักษิณซึ่งติดคดีซุกหุ้นอยู่
แต่วิกฤตการเมืองในขณะนี้เกิดจากปัญหาคุณธรรมจริยธรรมของผู้นำ
กระแสความต้องการนายกฯ
จึงเหวี่ยงกลับไปสู่ความต้องการคนดี
โดยที่ความสามารถด้านการบริหารเศรษฐกิจได้รับความสำคัญน้อยกว่า
ซึ่งเป็นลักษณะที่คล้ายกับยุครัฐบาล
พลเอกชาติชาย
ชุณหวรรณ
ที่มีข้อครหาเกี่ยวกับการคอร์รัปชันมาก
ประชาชนจึงถวิลหารัฐบาลที่มือสะอาด
แต่เมื่อเวลาผ่านไป
ความต้องการของประชาชนกลับเปลี่ยนไปต้องการคนเก่งแต่ละเลยปัจจัยทางคุณธรรมอีกครั้ง
ผมจึงเห็นว่า
คนไทยควรเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาส
ในการสร้างค่านิยมเกี่ยวกับลักษณะผู้นำที่พึงประสงค์
เพื่อผลักดันให้พรรคการเมืองต่าง
ๆ
ต้องชูผู้นำพรรคที่เป็นทั้งคนดีและคนเก่ง
เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนในการเลือกผู้นำที่พึงประสงค์มาปกครองประเทศ
|