เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ภาวะเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นสูงถึงร้อยละ 6
ในเดือนกันยายน รัฐบาลต้องระวังการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะอาจจะทำให้ประชาชนยากลำบาก
ผมเคยเตือนรัฐบาลแล้ว ทั้งในการอภิปราย เขียนบทความ และสัมภาษณ์ผ่านสื่อต่าง ๆ
ว่าให้ระวังการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวพร้อม ๆ
กับเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เพราะหากพิจารณาในเชิงทฤษฎี
การเน้นมาตรการกระตุ้นอุปสงค์ในภาวะเช่นนี้ จะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ
โดยจะทำให้อัตราเงินเฟ้อยิ่งเพิ่มสูงขึ้นอีก
อัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายนที่ผ่านมา
แม้ว่าส่วนหนึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน
อันเนื่องจากมาตรการลอยตัวราคาน้ำมันและการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก
แต่อีกส่วนหนึ่งอาจเกิดจากนโยบายกระตุ้นอุปสงค์ของรัฐบาลเองด้วย
และหากรัฐบาลยังเน้นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไปอีก อาทิ
เร่งอัดฉีดงบประมาณเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การกระตุ้นการซื้ออสังหาริมทรัพย์
และการเร่งลงทุนในโครงการลงทุนขนาดใหญ่แบบไม่สมดุลย์และเกินความเหมาะสม
จะยิ่งซ้ำเติมให้เงินเฟ้อสูงขึ้นอีก ประชาชนจะลำบากแน่
ในภาวะที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีทิศทางที่ไม่แน่นอน
รัฐบาลไม่จำเป็นต้องเน้นการกระตุ้นให้เศรษฐกิจขยายตัวสูง
เพราะถึงแม้ว่าการเติบโตของจีดีพีในปัจจุบันจะชะลอตัวลงบ้าง
แต่ยังไม่ใช่ระดับที่ต่ำจนเกินไป ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมากแล้ว
เงินเฟ้อที่สูงขึ้นมากจะส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกคน โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ประจำ
ผู้มีรายได้น้อยและคนยากจน
แต่เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงเล็กน้อยจะไม่ส่งผลกระทบต่อประชาชนมากนัก
รัฐบาลควรหันมาให้ความสำคัญกับการรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
และไม่ควรเน้นใช้จ่ายงบประมาณในโครงการที่เน้นการบริโภค
โดยไม่ช่วยให้เกิดผลิตภาพการผลิต รวมทั้งการส่งเสริมการออม
ทั้งนี้หากอัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ จะไม่จูงใจให้ประชาชนออมเงิน
ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนเงินทุนในประเทศ
และอาจจะทำให้เกิดปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดตามมา ดังที่เคยเกิดขึ้นก่อนวิกฤตปี
40
|