เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อใกล้ถึงวันเลือกตั้ง
ประเด็นหนึ่งที่สังคมไทยให้ความสนใจและอยากให้เกิดขึ้นคือ
การขึ้นเวทีประชันระหว่างหัวหน้าพรรคการเมืองในการแสดงวิสัยทัศน์
ดังการเปิดเผยผลการสำรวจของเอแบคโพล์
มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
หัวข้อเรื่อง
“ความคิดเห็นต่อการจัดเวทีสาธารณะประชันแนวคิดของหัวหน้าพรรคในการแก้ไขปัญหาของประเทศ”
ใน
15
จังหวัด
ผู้ตอบแบบสอบถาม
2,812
คน
ระหว่างวันที่
25
ก.ค.
– 5
ส.ค.
ปรากฏว่า
ร้อยละ
85.2
อยากเห็นอยากฟังพรรคการเมืองต่าง
ๆ
มาแสดงแนวคิดแก้ไขปัญหาของประเทศบนเวทีพร้อมกัน
ขณะที่ร้อยละ
14.8
ไม่อยากเห็นไม่อยากฟัง
ขณะเดียวกัน
ประชาชนร้อยละ
89.7
อยากเห็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยบนเวทีแข่งขันสาธารณะประชันแนวคิด
รองลงมาร้อยละ
88.6
อยากเห็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
และร้อยละ
63.6
อยากเห็นหัวหน้าพรรคชาติไทย
ตามลำดับ
คำถามคือ
รูปแบบและเนื้อหาของการจัดเวทีสาธารณะประชันแนวคิด
หรือที่เรียกกันสั้น
ๆ ว่า
“ดีเบท”
(debate)
ควรเป็นอย่างไร
อันจะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชนในการรับฟังและตัดสินใจเลือกพรรคการเมืองให้เข้ามาบริหารประเทศ
ผมคิดว่า
การจัดดีเบทในทางการเมืองไม่จำเป็นต้องเชิญหัวหน้าพรรคทุกคนเข้าร่วม
แต่ให้เชิญหัวหน้าพรรคเพียงสองคนเท่านั้นที่คาดว่าพรรคจะชนะการเลือกตั้งเป็นอันดับที่หนึ่งและสองตามลำดับ
(ดังที่ต่างประเทศจะเชิญหัวหน้าพรรคเพียงสองคนที่คาดว่าจะเป็นคู่แข่งขันที่จะชนะและก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ)
เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นว่าทั้งสองคนมีแนวทางในการแก้ไขและพัฒนาประเทศอย่างไร
โดยมีรายละเอียดของการพูดบนเวทีที่ให้แสดงวิสัยทัศน์
ประกาศนโยบายพรรค
และทิศทางในการบริหารประเทศในเวลาที่กำหนดไว้
อันจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนที่ได้รับฟังเนื้อหา
และใคร่ครวญต่อสัญญาประชาคมที่ประกาศไว้บนเวทีว่าจะสามารถทำได้จริงหรือไม่
เพื่อนำมาประกอบในการตัดสินใจเลือกนักการเมืองและพรรคการเมืองนั้นเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของตนในการบริหารประเทศ
ไม่เพียงเท่านั้น
ยังจะทำให้ทราบว่า
ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนต่อไป
จะมีไหวพริบ
สติปัญญา
และมีภาวะความเป็นผู้นำอย่างไร
โดยสิ่งที่จะพิสูจน์ในเรื่องดังกล่าวได้คือ
ความสามารถในการตอบคำถามสดจากคณะกรรมการในการจัดดีเบท
(โดยที่หัวหน้าพรรคทั้งสองไม่ทราบคำถามมาก่อน)
เกี่ยวกับเรื่องสภาพสังคม
เศรษฐกิจ
สิ่งแวดล้อม
การแข่งขันทางการค้า
ฯลฯ
เพราะคำถามต่าง
ๆ
เหล่านี้
จะชี้ให้เห็นว่า
หากก้าวขึ้นเป็นผู้นำประเทศ
เมื่อต้องเผชิญกับปัญหาวิกฤตต่าง
ๆ
จะมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างไร
ประการสุดท้าย
ควรเปิดโอกาสให้หัวหน้าพรรคแต่ละพรรคได้ตั้งคำถามไปยังฝ่ายตรงข้าม
ซึ่งอาจจะกำหนดไว้คนละ
3
– 5
คำถาม
การตั้งคำถามแบบนี้จะทำให้บรรยากาศในการดีเบทมีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
เป็นการบีบคั้นอารมณ์อย่างถึงที่สุด
เพราะไม่รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะตั้งคำถามเกี่ยวกับอะไร
มีเหตุผลเบื้องหลังในการตั้งคำถามอย่างไร
และควรจะตอบคำถามดังกล่าวอย่างไร
การตั้งคำถามและตอบคำถามกันไปมา
เปรียบเสมือนการแลกหมัดของนักมวย
กล่าวคืออาจจะได้เห็นการแพ้ชนะกันบนเวทีอย่างชัดเจนก่อนที่จะมีการเลือกตั้งในวันที่
15
ต.ค.
เสียด้วยซ้ำ
และจะพิสูจน์ให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า
หัวหน้าพรรคคนใดมีความเหมาะสมที่ก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป
ผมไม่เห็นด้วยกับรูปแบบเวทีสาธารณะที่ให้หัวหน้าพรรคมาพูดถึงนโยบายพรรคคนละครึ่งชั่วโมง
แล้วต่างคนแยกย้ายกันกลับบ้าน
ซึ่งจะไม่เกิดประโยชน์อันใดต่อประชาชนมากนัก
เพราะนโยบายต่าง
ๆ
สามารถหาอ่านได้จากแผ่นพับของพรรคการเมืองอยู่แล้ว
แต่ควรกำหนดรูปแบบในการดีเบทอย่างสร้างสรรค์และหลากหลาย
อันจะเอื้อให้สาธารณชนเห็นถึงคุณสมบัติของบุคคลที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ
ที่มีไหวพริบ
สติปัญญา
ภาวะความเป็นผู้นำ
ตลอดจนมีแนวนโยบายของพรรคและอุดมการณ์ทางการเมือง
ซึ่งจะเอื้อต่อการพัฒนาประเทศและสร้างสังคมแห่งความเจริญและสงบสุขอย่างแท้จริง
|