เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อวันที่
3
ก.ย.ที่ผ่านมา
สถาบันสัญญาธรรมศักดิ์เพื่อประชาธิปไตย
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(มธ.)
สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย
ฯลฯ
ร่วมกันจัดโครงการปาฐกถาสาธารณะขึ้น
ที่ มธ.
ท่าพระจันทร์
โดยเชิญนักการเมือง
นักวิชาการ
และประชาชนเข้าร่วมงานในครั้งนี้
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจในการจัดงานครั้งนี้คือ
การเรียกร้องให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นต่าง
ๆ อาทิ
นายอภิสิทธิ์
เวชชาชีวะ
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ที่กล่าวว่า
ควรมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นเกี่ยวกับการตรวจสอบเพื่อขจัดปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อนที่เกิดขึ้น
และออกกฎหมายคุ้มครองสิทธิเสรีภาพสื่อทั้งเอกชนและรัฐ
ขณะที่
ดร.โคทม
อารียา
ประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
อยากให้เริ่มต้นที่มาตรา
313
เพื่อเปิดกว้างเรื่องการมีส่วนร่วมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ฯลฯ
ความเห็นส่วนใหญ่ในที่ประชุมเสนอว่าจะต้องมีการปฏิรูปการเมืองภายหลังการเลือกตั้ง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
การเสนอให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในมาตราต่างๆ
โดยเปิดให้ภาคประชาชนจากทุกภาคส่วนของประเทศเข้ามามีส่วนร่วมคิด
ร่วมกันเสนอ
อันจะก่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้และปฏิรูปการเมืองรอบสอง
เพื่อให้สังคมการเมืองไทยมีความเป็นประชาธิปไตยและการบริหารการปกครองที่เป็นธรรม
ในประเด็นเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
ส่วนตัวของผมมีความสนใจในประเด็นระยะเวลาการดำรงตำแหน่งของผู้นำประเทศ
ซึ่งมีประเด็นที่ต้องขบคิดว่า
ควรจะกำหนดเทอมให้นายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งไม่เกิน
2
สมัยหรือสูงสุดไม่เกิน
8
ปีหรือไม่
คงต้องยอมรับ
ระบบการเลือกตั้งในปัจจุบันนั้นเอื้อโอกาสให้พรรคใหญ่ได้เปรียบในการเลือกตั้งและมีโอกาสที่พรรคการเมืองพรรคเดียวจะครองเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งในสภาผู้แทนราษฏร
ในแง่ดีเราจะได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพและขับเคลื่อนนโยบายได้อย่างต่อเนื่อง
แต่ในทางตรงกันข้าม
หากการเมืองไทยเปลี่ยนแปลงไปเป็นพรรคการเมืองพรรคใหญ่เพียงพรรคเดียว
ทำให้พรรคนั้นมีโอกาสได้เป็นรัฐบาลหลายสมัยติดต่อกัน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
หัวหน้าพรรคของพรรคใหญ่มีโอกาสนั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีนานถึง
20
ปีติดต่อกัน
เราคงเห็นบทเรียนในอดีตของประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ที่ผู้นำประเทศปกครองประเทศอย่างยาวนาน
แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่ในการกอบโกยผลประโยชน์เพื่อตนเอง
ญาติ
และพวกพ้อง
กล่าวคือ
ปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการอย่างเบ็ดเสร็จ
มองอย่างถี่ถ้วนแล้ว
หากนักการเมืองคนใดคนหนึ่งมีโอกาสได้ก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ระยะเวลา
8
ปีน่าจะเป็นระยะเวลาที่พอเหมาะที่นักการเมืองคนหนึ่งจะทุ่มเททั้งกำลังสมอง
กำลังความสามารถในการบริหารประเทศให้มีความเจริญรุ่งเรืองและพัฒนา
และเปิดโอกาสให้คนรุ่นต่อไปมีโอกาสได้เข้ามาบริหารประเทศ
ในขณะเดียวกัน
เป็นการป้องกันนักการเมืองบางคนที่มุ่งหวังเข้ามาลงทุนทางการเมืองและพยายามที่จะเข้ามากุมและผูกขาดอำนาจรัฐให้ยาวนานที่สุด
โดยเฉพาะการใช้อำนาจรัฐในการเอื้อประโยชน์ต่อตนเองและพวกพ้องในทางธุรกิจ
หากเราสังเกตประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศสหรัฐอเมริกายังมีการกำหนดห้ามเป็นประธานาธิบดีเกิน
2
สมัยติดต่อกันเช่นเดียวกัน
ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันการผูกขาดอำนาจทางการเมืองของนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง
ดังนั้น
เราคงควรทบทวนว่า
ควรมีการแก้ไขเพิ่มเติมไม่ให้นักการเมืองคนใดคนหนึ่งที่จะปกครองอย่างยาวนาน
โดยไม่มีการกำหนดระยะเวลาเลยหรือไม่
และในกรณีใดที่อนุญาตให้อยู่ได้ยาวนานกว่านั้น
ฯลฯ
โดยปกติผมขอเสนอว่าอยู่ไม่เกิน
8
ปีน่าจะเหมาะสม
แต่ในโอกาสต่อไป
ผมอาจเสนอว่าหากจะอยู่เกิน
8 ปี
คงต้องมีเหตุผลพิเศษและเงื่อนไขพิเศษที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ
ท้ายสุดนี้
เพื่อน ๆ
คิดเห็นอย่างไรว่าควรมีการกำหนดเทอมของนายกรัฐมนตรีหรือไม่
ส่งความคิดเห็นมาแลกเปลี่ยนกันได้ครับ
|