นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลตลอด 5
ปีที่ผ่านมาไม่เพียงบั่นทอนศักยภาพของคนภายในประเทศเท่านั้น
แต่นโยบายบางส่วนยังเป็นการทำลายภาคการผลิตภาคส่วนให้ล่มสลาย
โดยเหลือไว้เพียงส่วนที่คนในรัฐบาลและพวกพ้องจะได้ประโยชน์เท่านั้น
ซึ่งหากปล่อยให้การดำเนินนโยบายเป็นไปตามการสั่งการของรัฐบาล
ผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือประชาชนที่ต้องแบกรับความเสี่ยงจากนโยบายที่ไม่รอบคอบของรัฐบาล
นโยบายเศรษฐกิจกรัมม็อกโซน
(ยาฆ่าหญ้า)
คือนโยบายเปิดเขตการค้าเสรี หรือ FTA ที่ขาดส่วนผสมของความโปร่งใส
การมีส่วนร่วมของประชาชน และการศึกษาวิจัยอย่างรอบคอบ นโยบายนี้มีสรรพคุณ
เหี่ยวทั้งใบ
ตายถึงราก (หญ้า)
รัฐบาลเลือกได้ตามใจชอบว่า จะให้ภาคการผลิตใดอยู่รอดหรือตาย
และมีผลทำให้รากหญ้าตายได้ทันทีที่เปิดเสรี
การเจรจา
FTA
ที่ผ่านมา
ผู้ที่ได้ประโยชน์เป็นกลุ่มธุรกิจใกล้ชิดรัฐบาล
แต่กลุ่มที่ตายคือเกษตรกรรากหญ้าที่ไม่สามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
โดยเฉพาะเกษตรกรผู้ปลูกหอม กระเทียม ผัก ผลไม้ โคนม และโคเนื้อนับล้านครอบครัว
และหากการเจรจา FTA
กับสหรัฐสำเร็จ
เกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพดและถั่วเหลืองอีกเป็นล้านครอบครัวต้องเลิกอาชีพ
เร่งให้สังคมชนบทล่มสลาย เกษตรกรอพยพเข้ามาเป็นแรงงานในเมืองมากขึ้น
และทำให้เกิดความเสี่ยงต่อความมั่นคงทางอาหาร ในยามที่เกิดวิกฤต
นโยบายเศรษฐกิจยาสั่ง
เป็นนโยบายที่รัฐบาลทำตัวเหมือน คุณพ่อรู้ดี
และใช้
สั่ง
เพื่อชี้เป็นชี้ตายภาคการผลิตต่าง
ๆ เช่น การตั้งเป้าให้ไทยเป็นฮับด้านต่าง ๆ จำนวนมาก การกำหนดสาขาการผลิตที่จะทำให้เป็นเลิศในตลาดโลก
(Global Niche) 5 กลุ่ม
คือ อาหาร ยานยนต์ แฟชั่น ท่องเที่ยว และซอฟท์แวร์
โดยที่ไม่ได้มีรากฐานมาจากการวิจัย
นโยบายยาสั่งทำให้เกิดการบิดเบือน ทำให้บางอุตสาหกรรมได้อภิสิทธิ์จากนโยบายรัฐ
และจะทำให้คนไทยเสียประโยชน์
หากรัฐบาลเลือกอุตสาหกรรมที่ผิด
ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลจะเลือกอุตสาหกรรมผิด
จากงานวิจัยที่ผมนำเสนอต่อวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ชื่อ
ยุทธศาสตร์การพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตไทย
พบว่าอุตสาหกรรมที่รัฐบาลควรจะส่งเสริม คือ อาหารแปรรูป
ผลิตภัณฑ์อโลหะ เครื่องมือและเครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์จากยางและพลาสติก
และผลิตภัณฑ์จากไม้ หากเปรียบเทียบผลการวิจัยกับกลุ่มอุตสาหกรรม 5
กลุ่มที่รัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมนั้น พบว่ามีเพียง 2
กลุ่มที่มีความสามารถในการแข่งขัน
นโยบายเศรษฐกิจดีดีที
(ยาฆ่าแมลง)
คือนโยบายส่งเสริมการผูกขาด ทั้งจากกลุ่มทุนในประเทศและกลุ่มทุนต่างชาติ
เป็นเสมือนนโยบายดีดีทีที่ทำให้กิจการขนาดเล็กทยอยกันตายเกลี้ยง
ขณะที่ผู้บริโภคถูกเอารัดเอาเปรียบ เพราะเหลือแต่กิจการใหญ่ ๆ อาทิ
การเตะถ่วงการพัฒนากฎหมายการแข่งขันทางการค้า
ทำให้ขาดประสิทธิภาพในการป้องกันการผูกขาด การควบรวมกิจการ และการใช้อำนาจเหนือตลาด
ตลอดจนการแปรรูปรัฐวิสาหกิจโดยยังรักษาการผูกขาดเอาไว้
รวมทั้งใช้อำนาจรัฐกำหนดนโยบายและออกกฎหมายเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจขนาดใหญ่ของกลุ่มทุนใกล้ชิดรัฐบาล
และนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศ โดยเฉพาะกิจการโทรคมนาคม
เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ธุรกิจค้าปลีก และกิจการสาธารณูปโภค
ที่ผ่านมารัฐบาลวางยาประชาชน
โดยใช้นโยบายที่ฉาบฉวยเห็นผลเพียงระยะสั้น แต่ไม่ได้พัฒนาความรู้ ความสามารถ
ศักยภาพ และความเข้มแข็งของประชาชน
เพื่อให้เศรษฐกิจไทยแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในอนาคต
แม้วันนี้ประชาชนบางส่วนอาจจะยังรู้สึกดีอยู่ แต่ยากำลังเริ่มออกฤทธิ์
และจะทำให้รากฐานเศรษฐกิจไทยค่อย ๆ ตายลงทีละเล็กละน้อย