เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ท่ามกลางกระแสการเมืองที่ร้อนระอุในปัจจุบัน
ระบอบการเมืองประชาธิปไตยในระบบตัวแทนดูจะถูกมองว่าไม่สามารถหาทางออกให้ปัญหาได้ดีนัก
เพราะวิธีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อไปเป็นผู้แทนของประชาชนกลายเป็นภาพพจน์ต้นเหตุของความวุ่นวาย
ผมคิดว่าประชาธิปไตยทางตรงนั้นอาจเป็นทางออกที่น่าจะพิจารณาเสริมเข้ามาในระบบ
และน่าจะเป็นแนวโน้มที่เกิดขึ้นในอนาคตประเทศไทยมี
แนวโน้มมาทางประชาธิปไตยทางตรงมากขึ้น
นับตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
ฉบับ พ.ศ.
2540
ซึ่งให้สิทธิแก่ประชาชนในการออกเสียงทางการเมืองระดับชาติได้โดยตรงแทนการให้อำนาจ
ส.ส.
ในการดำเนินการแต่เพียงฝ่ายเดียว
เช่น
การทำประชาพิจารณ์เป็นส่วนหนึ่งก่อนดำเนินการในโครงการสำคัญภาครัฐ
การให้สิทธิในลงชื่อเพื่อตรวจสอบการทำงานของฝ่ายบริหารได้
แต่สิทธิดังกล่าวยังคงเป็นเพียงจุดเริ่มต้นที่เล็กน้อยของประชาธิปไตยทางตรง
ผมคาดว่าในอนาคตระบอบประชาธิปไตยทางตรงในประเทศไทยจะพัฒนากว่านี้อีกมากนัก
ในอดีตการประกวดร้องเพลง
ประกวดนางงาม
ฯลฯ
มักใช้วิธีการตัดสินโดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญ
หรืออย่างมากก็ใช้วิธีการลงคะแนนจากคนบางกลุ่ม
เช่น
คนดูหรือช่างภาพ
แต่ในปัจจุบันการตัดสินการประกวดที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
คือ
การโหวตจากผู้ชมทางบ้านทั่วประเทศผ่านทาง
SMS (Short
Message
Service)
โดยใช้โทรศัพท์มือถือบ้าง
หรือการลงคะแนนผ่านทางอินเทอร์เน็ตบ้าง
จากปรากฏการณ์นี้เราเห็นแนวโน้มอย่างหนึ่งว่า
อำนาจในการตัดสิน
(ใจ)
นั้นกระจายจากเดิมที่มีผู้มีอำนาจไม่กี่คนไปเป็นมหาชนในปัจจุบัน
ผมคาดว่า
ในอนาคตหากแน่ใจว่าป้องกันปัญหาการจัดตั้งกระแสได้
เราอาจได้เห็นการลงคะแนนของคนทั้งประเทศผ่านทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์
อย่าง
โทรศัพท์มือถือหรืออินเทอร์เน็ต
ในการตัดสินใจทางการเมืองที่สำคัญๆ
เช่น
นโยบายของรัฐ
นอกจากการเลือกตั้งแต่เพียงอย่างเดียว
เนื่องจาก
ปัจจุบันประเทศต่าง
ๆ
มีประชากรเป็นตัวเลข
8
หลัก
จึงทำให้ต้นทุนทางธุรกรรมจากการได้มาซึ่งผลการตัดสินใจของประชาชนทั้ง
ประเทศนั้นสูงมาก
ตัวอย่างที่เห็นชัดก็คือ
การเลือกตั้ง
ส.ส.
ในประเทศไทย
ที่มีต้องใช้งบประมาณถึงกว่า
2,000
ล้านบาทต่อการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว
ซึ่งแน่นอนว่าตัวเลขนี้ยังไม่รวมต้นทุนค่าเสียโอกาสอื่นอันไม่ได้ถูกประเมิน
เช่น
ค่าเสียเวลาในการทำงานของบริษัทเอกชนบางแห่ง
จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่การผ่านกฎหมายทุกๆ
ฉบับจะได้รับการตัดสินใจโดยประชาชนทุกคนในประเทศ
แต่เทคโนโลยีใหม่ๆ
อย่าง
การส่ง
SMS
ผ่านโทรศัพท์มือถือ
หรือการส่งข้อมูลผ่านทางอินเทอร์เน็ต
ทำให้การรวบรวมข้อมูลการตัดสินใจของประชาชนทั่วประเทศมีต้นทุนที่ต่ำลงอย่างมาก
อย่างเช่นรายการ
Academy
fantasia
ซึ่งเป็น
Reality
show
ของ
UBC
นั้นใช้งบประมาณกว่า
100
ล้านบาทในการจัดทำ
แต่งบประมาณส่วนใหญ่นั้นเป็นไปเพื่อการประชาสัมพันธ์
ดังนั้นงบประมาณสำหรับระบบการโหวตผ่าน
SMS
ในการแข่งขันทั้ง
12
รอบนั้น
น่าจะอยู่เพียงตัวเลข
7
หลัก
ซึ่งถือต่ำมาก
สำหรับการจัดการคะแนนโหวตที่มีนับล้านครั้งในแต่ละรอบ
ด้วยต้นทุนในการจัดการคะแนนโหวตที่ต่ำเช่นนี้
หากเราอนุมานกับระบอบการเมือง
ทำให้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าในอนาคตเทคโนโลยีด้านการสื่อสารจะถูกนำมาใช้เพื่อการลงคะแนนเสียงทางการเมือง
ในอนาคตหากแก้ปัญหาการจัดตั้งปั่นกระแสทาง
SMS
โทรศัทพ์มือถือ
และอินเตอร์เน็ตได้
เราอาจได้เห็นการลงคะแนนตัดสินใจในโครงการใหญ่ๆ
ของภาครัฐผ่านทางอินเทอร์เน็ต
หรือแม้แต่การลงชื่อถอดถอนครม.
ผ่านทาง
SMS
อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนแปลงสู่ประชาธิปไตยทางตรงจากพลังขับเคลื่อนของเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น
ก่อให้เกิดทั้งผลดีและผลเสีย
ในด้านผลดีนั้น
ประชาธิปไตยทางตรงเป็นการให้อำนาจ
(Empower)
ประชาชนมากขึ้นกว่าระบบประชาธิปไตยแบบตัวแทน
ในอดีตประชาชนต้องเลือก
ส.ส.
เป็นผู้แทน
เป็นเวลา
4
ปี
โดยไม่มีสิทธิ์เปลี่ยน
ไม่มีสิทธิ์ตอบโต้
ทำให้ ส.ส.
อาจไม่ได้เป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง
แต่ในระบบประชาธิปไตยทางตรงนั้น
ประชาชนจะมีอำนาจมากขึ้นในการตัดสินใจทางการเมือง
ทั้งด้านนโยบายและด้านการตรวจสอบ
ในอนาคตหาก
รัฐบาลคอร์รัปชั่นมากจนคะแนนเสียงตก
รัฐบาลอาจถูกถอดถอนจากการโหวตของประชาชนได้ในทันที
ไม่ต้องอาศัยการกดดันผ่านสื่อหรือ
การชุมนุมอย่างปัจจุบันซึ่งเกิดต้นทุนค่าโอกาสในการกดดันแต่ละครั้งค่อนข้างมาก
ใช่ว่าประชาธิปไตยทางตรงนั้นจะมีแต่ผลดีด้านเดียว
แม้ประชาธิปไตยทางตรงจะให้อำนาจแก่ประชาชนก็จริง
แต่ก็ไม่ได้รับประกันว่าผลการตัดสินนั้นจะถูกต้องหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น
หากเราใช้หลักเกณฑ์ความถูกต้องของข้อสอบด้วยการโหวตของนักเรียน
คำเฉลยที่ออกมานั้นย่อมไม่ถูกต้องทั้งหมดแน่นอน
ดังนั้นประชาธิปไตยทางตรงต้องการเงื่อนไข
นั้นก็คือจะต้องเกิดสังคมฐานความรู้
(Knowledge
based
society)
ซึ่งประกอบด้วยประชากรที่มีวุฒิภาวะ
(Maturity)
เพื่อเป็นหลักประกันว่าผลการลงคะแนนนั้นจะเป็นไปตามความถูกต้อง
ไม่ใช่เป็นการลงคะแนนด้วยอารมณ์หรือความหลงผิด
ดังนั้น
เพื่อรับสถานการณ์ที่เทคโนโลยีสารสนเทศจะถูกนำมาใช้ในการลงคะแนนเสียงในอนาคต
รัฐบาลน่าจะมีส่วนส่งเสริมวุฒิภาวะของประชาชนตั้งแต่ปัจจุบัน
ด้วยการสร้าง
ปัญญา
ให้แก่ประชาชน
ปัญญาในที่นี้มิได้หมายถึงความรู้ด้านวิชาการเท่านั้น
แต่ยังหมายถึงการเข้าใจสิ่งต่างๆ
ได้ตามความเป็นจริง
โดยรู้จักวิเคราะห์แยกแยะข้อเท็จจริงออกจากข้อมูลที่ได้รับมาทั้งหมดได้
รวมถึงตัดสินใจเลือกด้วยเหตุผล
ไม่ใช่ด้วยความรู้สึก |