เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ผมได้กล่าวถึงบางส่วนของแนวคิดในการปฏิรูประบบคุ้มครองทางสังคมว่า
ควรขยายระบบประกันสังคมให้ครอบคลุมแรงงานทั้งประเทศ
ซึ่งขณะนี้ผมกำลังศึกษาวิจัยถึงความเป็นไปได้ของแนวคิดดังกล่าว
เพราะหากมีการนำแนวคิดปฏิรูประบบคุ้มครองทางสังคมมาปฎิบัติจริง
จะทำให้แรงงานทุกคนได้รับการดูแลอย่างทั่วถึง
และมีคุณภาพอย่างแท้จริง
อย่างไรก็ตามการที่แรงงานทุกคนจะได้รับการครอบคลุมอย่างทั่วถึง
แรงงานทุกคนจะต้องมีส่วนจ่ายเงินสมทบตามความสามารถของแต่ละคน
กล่าวคือ
ให้แรงงานทุกคนสมทบตามรายได้ของแต่ละคน
โดยกำหนดให้มีการทดสอบรายได้
และกำหนดให้มีอัตราเงินเดือนสูงสุดและต่ำสุดที่ต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุน
เพื่อมิให้ผู้มีรายได้สูงต้องจ่ายมากเกินไป
และเพื่อให้คนยากจนไม่ต้องจ่ายสมทบเข้ากองทุน
อัตราการจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนฯ
ให้เป็นอัตราเดียวกับผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมในปัจจุบัน
โดยสามารถเลือกจ่ายเป็นรายเดือน
รายไตรมาส
รายครึ่งปี
หรือรายปีก็ได้
แรงงานทุกคนจะได้รับสิทธิประโยชน์เช่นเดียวกับผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมในปัจจุบัน
ได้แก่
การประกันในกรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย
การจ่ายค่าคลอดบุตร
การสงเคราะห์บุตร
การจ่ายเงินชดเชยกรณีขาดรายได้
การประกันชราภาพ
การประกันการว่างงาน
และการประกันกรณีทุพลภาพและเสียชีวิต
นอกจากนี้แรงงานที่มีบุตรที่ไม่อยู่ในวัยแรงงาน
หรือบิดามารดาเป็นคนชราที่ไม่เคยอยู่ในระบบแรงงาน
กองทุนประกันสังคมจะจูงใจให้แรงงานเข้าสู่ระบบประกันสังคม
โดยให้บุตรและบิดามารดาได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุนประกันสังคมโดยอัตโนมัติ
ทันทีที่แรงงานสมัครเข้าเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม
จากการคำนวณของผมพบว่า
หากนำกำลังแรงงานทั้งหมดเข้าสู่ระบบประกันสังคม
โดยเก็บในอัตราปัจจุบัน
จะเก็บเงินสมทบจากประชนได้เพิ่มขึ้นอีก
1.17
แสนล้านบาท
แต่การขยายจำนวนผู้ประกันตนและสิทธิประโยชน์ทำให้ค่าใช้จ่ายของกองทุนมากขึ้นด้วย
ทั้งนี้รัฐบาลจะต้องจัดงบประมาณมาสมทบเพิ่มขึ้นเพื่อให้มีเงินเพียงพอสำหรับการให้บริการ
ซึ่งเงินจำนวนนี้สามารถหาได้จากหลายช่องทาง
เช่น
การปรับโครงสร้างภาษี
การเพิ่มอัตราการสมทบ
การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารกองทุน
เป็นต้น
เงื่อนไขความสำเร็จอยู่ที่การนำทุกคนเข้าสู่ระบบประกันสังคม
โดยใช้มาตรการจูงใจทั้งเชิงบวกและลบ
อาทิ
การให้สิทธิประโยชน์ที่มากกว่าการอยู่นอกระบบ
การเพิ่มมาตรฐานการรักษาพยาบาลให้สูงกว่าโครงการ
30
บาทรักษาทุกโรค
การจัดบริการในระดับที่สูงกว่าความจำเป็นพื้นฐานสำหรับผู้จ่ายสมทบมากกว่าอัตราปกติเพื่อจูงใจให้คนรวยเข้าสู่ระบบ
รวมทั้งการนำเงินของคนมีรายได้สูงบางส่วนมาช่วยผู้ที่มีรายได้น้อย
ซึ่งแตกต่างนโยบายประชานิยมที่จัดสรรบริการในลักษณะเหมือน
ๆ
กันและเท่า
ๆ
กันทุกคน
โดยรัฐเป็นผู้อุดหนุนทั้งหมด
|