เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
โครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
(Southern
seaboard)
ถูกนำกลับมาปัดฝุ่นอีกครั้งในรัฐบาลปัจจุบัน
เพื่อรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและบริการ
ทดแทนพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
รัฐบาลมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
(สภาพัฒน์)
จัดหาพื้นที่พิเศษครอบคลุม
5
จังหวัด
ประกอบด้วย
สุราษฎร์ธานี
พังงา
ภูเก็ต
กระบี่
และนครศรีธรรมราช
สาระสำคัญของแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
คือ
การสร้าง
“สะพานเศรษฐกิจ”
เชื่อมฝั่งอันดามันและอ่าวไทย
ประกอบด้วย
ระบบขนส่งแบบผสมผสาน
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน
(oil-based
industry)
อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับก๊าซ
(gas-based
industry)
กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการขนส่งทางทะเล
(shipping-based
activities)
อุตสาหกรรมแปรรูป
และการพัฒนาเมืองเพื่อเพิ่มความได้เปรียบของพื้นที่
ผลการศึกษาในอดีตของสภาพัฒน์
เสนอแนะให้ปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
จากการใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นตัวนำการพัฒนา
มาเป็นการใช้ภูมิภาคเป็นตัวนำการพัฒนา
โดยมุ่งเน้นการพัฒนาภูมิภาคในพื้นที่เป้าหมายก่อน
เพื่อให้ท้องถิ่นมีความพร้อมรองรับการลงทุนขนาดใหญ่
คำถามสำคัญจึงอยู่ที่ว่า
แนวทางการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้ควรใช้อะไรเป็นตัวนำ
ระหว่างโครงสร้างพื้นฐานหรือภูมิภาค?
ข้อดีของการใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นตัวนำ
คือ
ความชัดเจนของนโยบายและการสนับสนุนจากภาครัฐ
และความรวดเร็วของการพัฒนา
เพราะโครงสร้างพื้นฐานจะเป็นตัวดึงดูดการลงทุน
แต่ข้อเสียคือความเสี่ยงในการลงทุนที่อาจเกินความจำเป็น
หรือความเสี่ยงจากการไม่ได้ผลตอบแทนตามที่คาดการณ์ไว้
ส่วนการใช้ภูมิภาคเป็นตัวนำมีข้อเสีย
คือ
ความล่าช้าของการพัฒนา
แต่เชื่อว่ามีข้อดีคือจะช่วยเตรียมความพร้อมของภูมิภาคเพื่อรองรับการลงทุนขนาดใหญ่
ลดความเสี่ยงของการลงทุนภาครัฐ
และสร้างความเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจภูมิภาค
รวมทั้งป้องกันผลกระทบจากการลงทุนที่มีต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าการใช้ภูมิภาคเป็นตัวนำมีหลักการที่ดี
แต่การใช้โครงสร้างพื้นฐานนำการพัฒนา
น่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมกับโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคใต้
ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
ประการแรก
ความได้เปรียบเชิงเปรียบเทียบของพื้นที่ภาคใต้คือตำแหน่งทางภูมิศาสตร์
เพราะเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดที่เชื่อมระหว่างมหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรอินเดีย
รูปแบบของโครงการจึงเป็นการสร้างสร้างท่าเรือและระบบขนส่งระหว่างชายฝั่งทะเลภาคใต้ทั้งสองด้าน
รวมทั้งสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเลียม
เพราะโครงการนี้จะกลายเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันที่สำคัญของภูมิภาคในอนาคต
ดังนั้นการพัฒนาเมืองเพื่อเพิ่มความได้เปรียบของพื้นที่จึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ
เพราะความได้เปรียบของพื้นที่นี้อยู่ที่ตำแหน่งที่ตั้ง
ไม่ใช่ความเป็นเมือง
ขณะที่การพัฒนาเมืองจะเกิดตามมาเมื่อมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานแล้ว
แต่หากพัฒนาเมืองขึ้นก่อน
อาจเกิดการพัฒนาที่ไร้ระเบียบ
ดังที่เกิดขึ้นในเมืองต่าง
ๆ
ของประเทศ
ประการที่สอง
โครงสร้างพื้นฐานเป็นปัจจัยสำคัญในการรองรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมและบริการในพื้นที่
หากไม่มีโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง
การพลังงาน
และนิคมอุตสาหกรรม
จะเป็นการยากที่จะจูงใจให้ภาคเอกชนและนักลงทุนเข้ามาลงทุนในภูมิภาคนี้
ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมที่เชื่อมโยงกับโครงสร้างการผลิตในพื้นที่นี้หรือไม่ก็ตาม
เพราะจะทำให้ผู้ลงทุนมีต้นทุนสูงในการขนส่งและการจัดหาแหล่งพลังงาน
รวมทั้งยังขาดการสนับสนุนจากสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น
ๆ
ประการที่สาม
ปัญหาสำคัญของการพัฒนาพื้นที่ในอดีตไม่ได้เกิดจากความไม่พร้อมของพื้นที่
ทั้งนี้ผลกระทบส่วนหนึ่งที่เกิดจากโครงการพัฒนาพื้นที่ชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก
เช่น
ปัญหามลภาวะ
การขาดแคลนน้ำ
เป็นต้น
ไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากความไม่พร้อมของพื้นที่
แต่เกิดจากความไม่เพียงพอและไม่ครบถ้วนของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพและกฎระเบียบต่าง
ๆ เช่น
การสร้างแหล่งกักเก็บน้ำไม่เพียงพอกับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานในการกำจัดมลภาวะ
และขาดประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันมลภาวะ
เป็นต้น
การที่รัฐบาลนำโครงการดังกล่าวกลับมาดำเนินการอีกครั้ง
ผมยังมีความกังวลว่ารัฐบาลกำลังดำเนินการภายใต้เงื่อนไขที่มีความเหมาะสมหรือไม่
เนื่องจากโครงการนี้เคยมีการศึกษาและจัดทำแผนแม่บทเอาไว้แล้วในสมัยรัฐบาลชวน
1
และได้อนุมัติการก่อสร้างถนนสายกระบี่-ขนอม
และเตรียมการจัดหาที่ดินตั้งแต่ปี
พ.ศ.2536
ซึ่งผมเห็นว่าบริบทและเงื่อนไขทางเศรษฐกิจในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปมากแล้ว
ภาครัฐจึงควรมีการทบทวนแผนแม่บทโครงการและผลการศึกษาในอดีตใหม่อีกครั้ง
เพื่อกำหนดรูปแบบและที่ตั้งโครงการที่มีความเหมาะสมที่สุด
โดยเฉพาะการศึกษาเป็นไปได้และความคุ้มค่าของการลงทุนอย่างรอบคอบอีกครั้ง
เพื่อมิให้เกิดการลงทุนที่เกินความจำเป็น
ขณะที่การกำหนดรายละเอียดของโครงสร้างพื้นฐานควรคำนึงถึงความเชื่อมโยงกับโครงสร้างการผลิตและแหล่งทรัพยากรในภูมิภาค
ตลอดจนประสานกับยุทธศาสตร์พัฒนาระหว่างประเทศด้วย
การพัฒนาโดยใช้โครงสร้างพื้นฐานเป็นตัวนำ
จำเป็นจะต้องมีแผนการลงทุนก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ครบถ้วนทุกด้าน
ทั้งการขนส่ง
การสนับสนุนการลงทุน
ระบบสาธารณูปโภค
การรองรับการขยายตัวของเมือง
และการป้องกันผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
ตลอดจนมีแผนการลงทุนระยะยาวเพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานสามารถรองรับการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง
เพื่อมิให้เป็นเหมือนสนามบินสุวรรณภูมิที่มีปัญหามากมาย
และกำลังจะไม่เพียงพอในการรองรับผู้โดยสาร
ทั้ง ๆ
ที่เปิดใช้เพียงปีแรก
|