เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ใช้ท่าอากาศยานกรุงเทพ
(สนามบินดอนเมือง)
เป็นสนามบินนานาชาติแห่งที่
2
คู่กับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิซึ่งเป็นสนามบินหลัก
โดยกำหนดให้สายการบินย้ายเที่ยวบิน
ทั้งในและระหว่างประเทศ
กลับมาที่สนามบินดอนเมืองแบบสมัครใจ
รวมทั้งจะปรับอัตราค่าธรรมเนียม
และค่าบริการการใช้สนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง
ที่มีความแตกต่างกันในปัจจุบันให้มีอัตราเท่ากันด้วย
เหตุผลของการย้ายกลับมาใช้สนามบินดอนเมือง
เกิดจากสนามบินสุวรรณภูมิเริ่มมีข้อจำกัดในการรองรับผู้โดยสาร
รวมถึงความจำเป็นต้องปิดซ่อมบางส่วน
นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดงบประมาณได้กว่า
40,000
ล้านบาท
จากการชะลอการลงทุนในสนามบินสุวรรณภูมิเฟสที่
2
แม้รัฐบาลมีความจำเป็นในการย้ายกลับมาใช้สนามบินดอนเมือง
แต่สังคมยังสงสัยว่า
ในระยะยาว
ประเทศไทยควรใช้สนามบินแห่งเดียวหรือสองแห่ง
ควรจัดสรรให้สายการบินใดให้บริการอยู่ที่สนามบินใด
และการย้ายสายการบินกลับไปยังสนามบินดอนเมืองแบบสมัครใจ
ทำให้เกิดประสิทธิในระบบเศรษฐกิจภาพสูงสุดหรือไม่
รวมทั้งควรกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง
ๆ
ในอัตราเท่าไร
นอกจากนี้
ยังมีความกังวลว่า
การใช้สองสนามบินอาจทำให้ไทยสูญเสียความเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค
(ฮับ)
และอาจก่อให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารจัดการ
ทำให้ภาครัฐและสายการบินมีต้นทุนสูงขึ้นและเกิดการสิ้นเปลือง
เนื่องจากจะต้องจัดสรรทรัพยากรและเจ้าหน้าที่
ไปประจำอยู่ทั้งสองสนามบิน
รวมถึงอาจทำให้ผู้โดยสารเกิดความสับสนและไม่สะดวกในการใช้บริการ
ผมจึงขอเสนอแนะให้ภาครัฐใช้
“กลไกตลาด”
ในการตอบโจทย์ดังกล่าว
โดยแนวทางการดำเนินการมีอยู่
2
วิธีการหลัก
ๆ คือ
การเปิดประมูลเพื่อคัดเลือกสายการบินที่จะให้บริการที่สนามบินดอนเมืองและ/หรือสนามบินสุวรรณภูมิ
และการทำให้มีการแข่งขันกันระหว่างสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมือง
ซึ่งน่าจะเป็นวิธีการที่สามารถตอบคำถามต่าง
ๆ
ได้เกือบครบถ้วน
สายการบินใดควรอยู่ที่สนามบินแห่งใด?
แนวคิดดังกล่าวไม่ขัดแย้งกับหลักความสมัครใจ
และยังเปิดโอกาสให้สายการบินพิจารณาความเสี่ยงและคุ้มค่าในการลงทุนเองว่า
ควรให้บริการที่สนามบินใดหรือเปิดให้บริการทั้งสองแห่ง
การที่สายการบินเป็นภาคเอกชนที่มีการแข่งขันกัน
จึงมีแรงจูงใจที่จะลดต้นทุนให้ต่ำที่สุดหรือเลือกลงทุนในที่ที่คุ้มค่ามากที่สุด
เพื่อทำกำไรสูงสุด
ด้วยวิธีการนี้จึงทำให้ผู้ประกอบการสายการบินมีทางเลือกและมีต้นทุนในการดำเนินงานต่ำที่สุด
และทำให้การลงทุนของสายการบินโดยรวมมีความคุ้มค่ามากที่สุด
ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยสามารถรักษาความได้เปรียบในการเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาคไว้ได้
ค่าธรรมเนียมและค่าบริการควรกำหนดอย่างไร?
การกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง
ๆ
ของทั้งสองสนามบินให้เท่ากัน
เป็นวิธีการที่ไม่เหมาะสม
เนื่องจากสนามบินทั้งสองแห่งมีต้นทุนในการดำเนินงานไม่เท่ากัน
มีสิ่งอำนวยความสะดวกแตกต่างกัน
และมีความต้องการเข้ามาใช้บริการและความต้องการเข้ามาลงทุนแตกต่างกัน
ดังนั้นการกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าบริการที่เท่ากันจะทำให้เกิดการบิดเบือนกลไกตลาด
ซึ่งทำให้ไม่เกิดประสิทธิภาพในการจัดสรรทรัพยากร
ทั้งในด้านบริหารสนามบิน
การลงทุนของสายการบิน
และการใช้บริการของประชาชน
การแข่งขันระหว่างสนามบินและการเปิดประมูล
จะทำให้สนามบินแต่ละแห่งทราบว่า
ควรกำหนดค่าธรรมเนียมและค่าบริการในอัตราเท่าไร
เพราะราคาที่สายการบินยื่นประมูล
เป็นอัตราที่สายการบินได้ประเมินแล้วว่าสามารถแข่งขันได้หรืออยู่รอดได้
ขณะที่สนามบินสามารถกำหนดราคาประมูลต่ำสุดและจำนวนสายการบินที่จะเปิดรับได้
เพื่อทำให้การบริหารสนามบินมีความคุ้มทุนและแข่งขันกับสนามบินอื่น
ๆ ได้
ซึ่งในที่สุด
จะทำให้ผู้บริโภคได้รับบริการในราคาที่เป็นธรรม
แต่หากสายการบินเสนอราคาประมูลสูงมาก
จนทำให้สนามบินมีกำไรสูง
สนามบินอาจช่วยผู้โดยสารได้ด้วยการลดค่าธรรมเนียมการใช้สนามบิน
ควรเปิดใช้สนามบินแห่งใดบ้าง?
วิธีการดังกล่าวยังทำให้ภาครัฐทราบด้วยว่า
ควรเปิดใช้สนามบินแห่งใด
หรือควรใช้สนามบินทั้งสองแห่ง
เพราะอัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง
ๆ
จะเป็นตัวสะท้อนว่า
สนามบินแต่ละแห่งจะสามารถอยู่รอดได้หรือไม่
ทั้งนี้หากราคาประมูลต่ำกว่าต้นทุนหน่วยสุดท้าย
(marginal
cost)
ของการดำเนินการของสนามบินแห่งใดแห่งหนึ่ง
หรือการดำเนินการของสนามบินแห่งนั้นไม่คุ้มทุน
แสดงว่าการเปิดดำเนินการในสนามบินแห่งนั้น
อาจไม่ใช่ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
หรือหมายความว่า
นโยบายสนามนานาชาติสองแห่ง
ไม่เหมาะสมต่อประเทศไทย
แต่หากราคาประมูลสูงกว่าต้นทุนหน่วยสุดท้ายของการดำเนินการสนามบินทั้งสองแห่ง
แสดงว่าการเปิดใช้สนามบินทั้งสองแห่งเป็นนโยบายที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม
มีความเป็นไปได้ว่า
หากให้มีการย้ายสนามบิน
อาจทำให้การดำเนินการของทั้งสองสนามบินไม่มีความคุ้มทุน
เนื่องจากการที่สนามบินแต่ละแห่งไม่ได้ให้บริการเต็มศักภาพของสนามบิน
หรือไม่มีความประหยัดจากขนาด
(economy
of scale)
ในสถานการณ์เช่นนี้
ภาครัฐจำเป็นต้องเลือกเปิดบริการในสนามบินเพียงแห่งใดแห่งหนึ่ง
ซึ่งมีความคุ้มค่าและคุ้มทุนมากกว่า
ข้อกังวลที่สำคัญ
คือ
หากต้องเปิดใช้ทั้งสองสนามบิน
จะทำให้ต้นทุนด้านลอจิสติกส์ของประเทศสูงขึ้น
และทำให้เกิดความยุ่งยากสับสน
ผมเห็นว่า
ภายใต้กลไกตลาด
ผู้ที่ต้องการเดินทางและขนส่งสินค้า
จะเป็นผู้ประเมินเองว่า
การเดินทางและขนส่งเส้นทางใดที่มีต้นทุนต่ำที่สุด
เมื่อตลาดมีความต้องการ
จะทำให้สายการบินเข้ามาลงทุนให้บริการเพื่อรองรับความต้องการในเส้นทางดังกล่าวเอง
และหากมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านลอจิสติกส์ระหว่างสองสนามบิน
จะยิ่งทำให้ต้นทุนดังกล่าวต่ำลง
ส่วนข้อกังวลเรื่องความยุ่งยากสับสน
ผมเห็นว่า
สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยการจัดระบบและการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
การดำเนินนโยบายสนามบินทั้งสองแห่ง
ควรคำนึงถึงหลักประสิทธิภาพสูงสุด
ความคุ้มค่าในการลงทุนทั้งของภาครัฐและเอกชน
ความสามารถการแข่งขัน
และการพัฒนาสู่การเป็นศูนย์กลางการบินในภูมิภาค
โดยทำให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด
ซึ่งผมเห็นว่า
“กลไกตลาด”
สามารถทำหน้าที่นี้ได้ดีที่สุด |