เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยในการกันสำรองเงินตราต่างประเทศร้อยละ
30
และหักเงินร้อยละ
10
สำหรับเงินต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนไม่ถึง
1 ปี
ส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนจำนวนมาก
เห็นได้จากสภาพการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่ซบเซาต่อเนื่อง
รวมทั้งส่งผลกระทบต่อการพัฒนาตลาดตราสารหนี้และการลงทุนภายในประเทศด้วย
แม้ว่า
ธปท.จะยกเลิกมาตรการนี้สำหรับการลงทุนในตลาดหุ้นแล้ว
แต่อิทธิพลของมาตรการนี้ยังครอบคลุมไปถึงการลงทุนในตราสารหนี้ที่ไม่ได้เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรด้วย
จึงเป็นการผลักให้นักลงทุนต่างประเทศบางส่วนที่มีวัตถุประสงค์การลงทุนระยะยาวออกไปจากไทยด้วย
และทำให้ตลาดขาดสภาพคล่อง
การที่ภาครัฐใช้มาตรการแก้ปัญหาเก็งกำไรค่าเงินบาทแบบเหมารวม
จึงเป็นมาตรการที่ขาดความสมดุล
เพราะแม้จะเป็นผลดีต่อการส่งออก
แต่กลับส่งผลกระทบต่อการลงทุนอย่างรุนแรง
ผมเห็นว่า
การแก้ปัญหาเก็งกำไรค่าเงินบาทอย่างสมดุลควรอยู่บนหลักอย่างน้อย
3 ประการ
1.
แก้ที่สาเหตุหลักของการเก็งกำไร
สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเก็งกำไร
คือ
อัตราดอกเบี้ยของไทยที่สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้าน
มาตรการดังกล่าวข้างต้นแม้ว่าจะสามารถควบคุมการเก็งกำไรในตลาดในประเทศอย่างได้ผล
แต่การเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ยังคงมีอยู่ในตลาดต่างประเทศ
(Offshore)
สะท้อนให้เห็นความต้องการเงินบาทที่มีอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากมาตรการนี้ไปทำให้ปริมาณเงินบาทมีอย่างจำกัด
และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากแรงดึงดูดของอัตราดอกเบี้ย
ดังนั้นการแก้ไขปัญหาการเก็งกำไรได้อย่างแท้จริงน่าจะอยู่ที่การลดอัตราดอกเบี้ยเสียมากกว่า
2.
คำนึงถึงเสถียรภาพเศรษฐกิจในประเทศ
แม้ว่าดอกเบี้ยจะเป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ
แต่อัตราเงินเฟ้อของไทยได้ผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว
โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและเงินเฟ้อพื้นฐานได้ลดลงเหลือร้อยละ
3.6
และ
1.9
ในไตรมาสที่
3
ของปี
2549
จากร้อยละ
5.7
และ
2.6
ในไตรมาสที่
1
ธปท.จึงควรพิจารณาแนวทางลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย
เพื่อลดแรงดึงดูดของเงินลงทุนระยะสั้นที่เข้ามาเก็งกำไร
รวมทั้งกระตุ้นการลงทุนและการบริโภคที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง
อันเป็นผลจากสถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง
และการขาดความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อนโยบายของภาครัฐ
3.
ไม่กระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
มาตรการดังกล่าวส่งผลกระทบต่อจิตวิทยาการลงทุน
เนื่องจากนักลงทุนขาดความเชื่อมั่นและจะคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้นเพื่อชดเชยความเสี่ยงในด้านนโยบายของไทย
ทั้งนี้โบรกเกอร์ต่างชาติหลายสำนักได้แนะนำนักลงทุนให้ออกจากตลาดไทยอย่างสิ้นเชิง
โดยให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไทยเท่ากับศูนย์
(Zero
weighting)
ผมจึงขอเสนอให้ทบทวนมาตรการนี้สำหรับเงินตราต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตราสารหนี้บางประเภทที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรระยะสั้น
เช่นกองทุนร่วมลงทุน
(venture
capital)
เนื่องจากเป็นเงินที่เข้ามาลงทุนในภาคธุรกิจที่แท้จริงซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการลงทุนระยะยาวมากกว่า
1
ปีอยู่แล้ว
และมีขนาดของกองทุนเล็กมาก
จึงแทบไม่มีผลต่อการเก็งกำไรค่าเงินบาทมากนัก
ทั้งนี้หากมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นและไม่ต้องการให้ส่งผลกระทบต่อเงินทุนระยะยาว
ผมมีข้อเสนอว่า
ธปท.อาจจะพิจารณายกเลิกมาตรการในส่วนขาเข้าคือกันสำรองร้อยละ
30
แต่ยังคงมาตรการในส่วนขาออกคือการหักเงินร้อยละ
10
(หรือในอัตราอื่นที่เหมาะสม)
หากถอนการลงทุนออกก่อนระยะเวลา
1
ปี
โดยใช้มาตรการนี้ในตราสารหนี้ที่ต้องการเงินทุนระยะยาว
โดยให้คงมาตรการในส่วนขาออกเป็นการชั่วคราวจนกว่า
อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับที่ทำให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพ
ภาครัฐควรกำหนดนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนที่สร้างความสมดุลในเป้าหมายการส่งออกและการลงทุน
และไม่ควรละเลยมาตรการระยะยาวที่สร้างความยืดหยุ่นให้กับภาคส่งออกของไทย
โดยการกระจายความเสี่ยงของการส่งออก
ไม่พึ่งพาตลาดใดตลาดหนึ่งหรือพึ่งพาสกุลเงินใดมากเกินไป
ประการสำคัญคือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและการสร้างนวัตกรรม
เพื่อพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันของภาคการผลิตในประเทศ
ซึ่งจะทำให้สินค้าส่งออกของไทยรองรับความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงินได้ดียิ่งขึ้น
|