เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อเดือนเมษายน
2549
พรรคไทยรักไทยและ
น.ต.
ศิธา
ทิวารี
ได้ฟ้องผมในข้อหาหมิ่นประมาท
อ้างว่าข้อความที่ผมแถลงข่าวเมื่อวันที่
31
มีนาคม พ.ศ.2549
ซึ่งได้กล่าวถึงแนวทางการหาเสียงของพรรคไทยรักไทยว่า
หลายเรื่องเป็นเรื่องโกหกและทำไม่ได้จริง
ข้อความเหล่านี้ศาลเห็นว่า
เป็นการติชมด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำได้
จึงมีคำสั่งยกฟ้องในวันที่
26
ธันวาคม
2549
ศาลได้ตัดสินว่า
การให้สัมภาษณ์ของผมต่อนักข่าว
ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
เนื่องจากโจทก์ที่
1
พรรคไทยรักไทยเป็นนิติบุคคลประเภทพรรคการเมือง
ย่อมต้องยอมรับเงื่อนไขตามวิถีทางการเมืองที่เคยปฏิบัติกันมา
คือ
อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ได้
ตามครรลองของระบอบประชาธิปไตย
และในข้อความที่ผมให้สัมภาษณ์นั้นเป็นความจริงและเป็นการแสดงความคิดเห็นด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนทำได้
อีกทั้งไม่ได้เป็นการจูงใจประชาชนให้ไม่ไปลงคะแนนเสียงในวันเลือกตั้งให้
พรรคไทยรักไทยแต่อย่างใด
เนื้อหาในการแถลงข่าววันนั้น
ล้วนเป็นความจริงทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นผลงานตลอด
5
ปี
ของการเป็นรัฐบาลและนโยบายที่จะทำในอนาคต
เช่น
กรณีที่อ้างว่าพรรคไทยรักไทยทำให้เศรษฐกิจปี
2544
โตขึ้นจาก
4.9
เป็น
7.1
ล้านล้านบาท
หรือเพิ่มขึ้น
2.2
ล้านบาท
ไม่ได้เกิดจากฝีมือของรัฐบาลทักษิณแต่เกิดจากการส่งออกที่ขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้การที่อ้างเสมอว่า
ได้คืนหนี้ไอเอ็มเอฟก่อนกำหนด
ทั้งที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศในรัฐบาลก่อนเพิ่มขึ้นถึง
32,600
ล้านดอลลาร์สหรัฐ
แต่เงินทุนสำรองฯในรัฐบาลทักษิณ
1
นับจนถึงวันที่ชำระหนี้ไอเอ็มเอฟนั้น
เพิ่มขึ้นเพียง
1.7
หมื่นล้านดอลลาร์
และยังขู่ว่าถ้าไม่เลือกพรรค
ทรท.ประเทศไทยจะต้องเข้าไอเอ็มเอฟอีกครั้ง
ทั้งที่ในความเป็นจริงรัฐบาลที่ใช้นโยบายประชานิยม
ขาดวินัยการคลัง
เปิดเสรีอย่างสุดโต่ง
และคอร์รัปชั่นรุนแรงล้วนมีจุดจบที่ไอเอ็มเอฟทั้งสิ้น
ข้อเท็จจริงนี้เป็นที่รับรู้ทั่วไปว่าเป็นความจริง
ผมไม่คิดที่จะฟ้องกลับ
เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นว่า
แนวทางหนึ่งที่พรรคไทยรักไทยรัฐบาลใช้กำจัดคู่ต่อสู้ทางการเมือง
คือ
การฟ้องหมิ่นประมาท
โดยไม่ใส่ใจในเนื้อหาสาระหรือข้อเท็จจริงที่จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศ
ผมอยากให้คดีนี้เป็นบทเรียน
ด้วยหวังว่ารัฐบาลชุดนี้และชุดต่อ
ๆ
ไปจะเปิดใจรับฟังความคิดเห็นที่ขัดแย้ง
โดยมุ่งเพื่อประโยชน์ของประชาชนสูงสุด
|