Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์


บทเรียนจาก เซปักตะกร้อไทยพ่ายเวียดนาม

Thailand’s Sepaktakraw team kicked out by Vietnam: A lesson to learn

 

12 ธันวาคม 2549

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก                     

               การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่ 15 ณ เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ ในวันพุธที่ 6 ธันวาคม 2549 ที่ผ่านมา ทีมชาติไทยลงแข่งขันเซปักตะกร้อในประเภททีมชุดหญิงนัดชิงชนะเลิศ โดยพบกับทีมสาวเวียดนาม ผลการแข่งขันปรากฏว่า สาวไทยพ่ายเวียดนามไปเฉียดฉิว 1-2 ทีม ทำให้เซปักตะกร้อทีมหญิงของเวียดนามคว้าตำแหน่งแชมป์เอเชี่ยนเกมส์เป็นครั้งแรก ขณะที่ทีมสาวไทยแชมป์เก่าทำได้เพียงเหรียญเงิน

แม้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า ประเทศมหาอำนาจด้านกีฬาเซปักตะกร้ออย่างประเทศไทย แถมมีดีกรีแชมป์เก่า จะพ่ายแพ้เวียดนามที่เพิ่งหัดเล่นตระกร้อได้ไม่กี่ปี หลายคนอาจปลอบใจตัวเองว่าโชคคงเข้าข้างทีมเวียดนามมากกว่า อย่างไรก็ตามผู้สัดทัดด้านกีฬาให้ทัศนะว่า ความจริงแล้วนักกีฬาเวียดนามใช้เวลาทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นปี ๆ

ชัยชนะของเวียดนามที่มีต่อไทยครั้งนี้แม้จะดูเล็กน้อยและหลายคนอาจมองข้ามไป แต่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยบางประการว่า ต่อแต่นี้ไปไทยจะไม่สามารถมองข้ามศักยภาพของประเทศเวียดนามว่าเป็นประเทศธรรมดาได้อีกต่อไป

คำกล่าวที่ว่า เวียดนามกำลังจะเป็นเสือตัวที่ 3 ของเอเชีย และจะก้าวขึ้นมามีบทบาทบนเวทีการค้าโลกในเวลาอันใกล้นี้ คำพูดนี้อาจไม่ไกลเกินจริง โดยหลังได้รับการรับรองให้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จะทำให้โฉมหน้าเศรษฐกิจของเวียดนามเปลี่ยนแปลงไป

ในด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เมื่อเปรียบเทียบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะพบว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในภูมิภาคนี้ ทั้งนี้องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปีนี้ว่า จะขยายตัวถึงร้อยละ 7.8 และคาดว่าหลังจากได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกแล้ว เศรษฐกิจจะขยายตัวถึงร้อยละ 7.6 ในปีหน้า และนิตยสารฟอร์จูนฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549 ยังระบุว่า เวียดนามมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอันดับ 2 ของโลก

นอกจากนี้เวียดนามมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน โดยรัฐบาลเวียดนามได้สร้างความมั่นใจกับนักลงทุนจากต่างชาติว่าจะปฎิรูประบบเศรษฐกิจให้เข้าสู่สากล รัฐบาลเวียดนามยังมีความพยามในการปฏิรูประบบราชการให้มีความโปร่งใสมากขึ้น ประการสำคัญรัฐบาลเวียดนามได้ดำเนินการแก้ปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันในวงราชการอย่างจริงจัง จากความมุ่งมั่นดังกล่าวทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นต่ออนาคตเศรษฐกิจของเวียดนาม

ผลสะท้อนดังกล่าวแสดงให้เห็นจาก ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ ซึ่งในปี 2548 มีการลงทุนจำนวน 6,800 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ถึงร้อยละ 50 แต่ในปีนี้คาดว่าตัวเลขการลงทุนรวมทั้งสิ้นจะสูงกว่า 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 340,000 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ 8,600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจของเวียดนามมีศักยภาพสูงมาก

เวียดนามยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามได้มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง โดยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ คือ เน้นการพัฒนาการศึกษาเป็นอันดับแรก เวียดนามเชื่อว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้และความสามารถทำให้ประเทศมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและต่อยอดองค์ความรู้ ต่างจากการพัฒนาที่เริ่มต้นด้วยเน้นการสร้างความเจริญด้านวัตถุก่อนแต่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ ทำให้ประเทศชาติเสี่ยงที่จะขาดความสามารถในการแข่งขันในภาวะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสังคมฐานความรู้

ที่กล่าวมาข้างต้น ผมมิได้ต้องการยกย่องว่าคนเวียดนามว่าเก่งกว่าคนไทย แต่ผมมองว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่รัฐบาลของเราควรเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญในการพัฒนาประเทศ โดยเพราะทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง เพราะการแข่งขันในเวทีโลกนั้นไม่ใช่แค่เกมกีฬาแต่เพียงอย่างเดียว

  



-------------------------------