เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
การแข่งขันกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ครั้งที่
15
ณ
เมืองโดฮา
ประเทศกาตาร์
ในวันพุธที่
6
ธันวาคม
2549
ที่ผ่านมา
ทีมชาติไทยลงแข่งขันเซปักตะกร้อในประเภททีมชุดหญิงนัดชิงชนะเลิศ
โดยพบกับทีมสาวเวียดนาม
ผลการแข่งขันปรากฏว่า
สาวไทยพ่ายเวียดนามไปเฉียดฉิว
1-2
ทีม
ทำให้เซปักตะกร้อทีมหญิงของเวียดนามคว้าตำแหน่งแชมป์เอเชี่ยนเกมส์เป็นครั้งแรก
ขณะที่ทีมสาวไทยแชมป์เก่าทำได้เพียงเหรียญเงิน
แม้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อว่า
ประเทศมหาอำนาจด้านกีฬาเซปักตะกร้ออย่างประเทศไทย
แถมมีดีกรีแชมป์เก่า
จะพ่ายแพ้เวียดนามที่เพิ่งหัดเล่นตระกร้อได้ไม่กี่ปี
หลายคนอาจปลอบใจตัวเองว่าโชคคงเข้าข้างทีมเวียดนามมากกว่า
อย่างไรก็ตามผู้สัดทัดด้านกีฬาให้ทัศนะว่า
ความจริงแล้วนักกีฬาเวียดนามใช้เวลาทุ่มเทฝึกซ้อมอย่างหนักเป็นปี
ๆ
ชัยชนะของเวียดนามที่มีต่อไทยครั้งนี้แม้จะดูเล็กน้อยและหลายคนอาจมองข้ามไป
แต่ได้ส่งสัญญาณเตือนภัยบางประการว่า
ต่อแต่นี้ไปไทยจะไม่สามารถมองข้ามศักยภาพของประเทศเวียดนามว่าเป็นประเทศธรรมดาได้อีกต่อไป
คำกล่าวที่ว่า
เวียดนามกำลังจะเป็นเสือตัวที่
3
ของเอเชีย
และจะก้าวขึ้นมามีบทบาทบนเวทีการค้าโลกในเวลาอันใกล้นี้
คำพูดนี้อาจไม่ไกลเกินจริง
โดยหลังได้รับการรับรองให้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก
(WTO)
เมื่อวันที่
7
พฤศจิกายนที่ผ่านมา
จะทำให้โฉมหน้าเศรษฐกิจของเวียดนามเปลี่ยนแปลงไป
ในด้านการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อเปรียบเทียบในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะพบว่าเวียดนามเป็นประเทศที่มีการขยายตัวทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในภูมิภาคนี้
ทั้งนี้องค์กรการเงินระหว่างประเทศ
(IMF)
ได้ประมาณการณ์การขยายตัวทางเศรษฐกิจของเวียดนามในปีนี้ว่า
จะขยายตัวถึงร้อยละ
7.8
และคาดว่าหลังจากได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลกแล้ว
เศรษฐกิจจะขยายตัวถึงร้อยละ
7.6
ในปีหน้า
และนิตยสารฟอร์จูนฉบับวันที่
13
พฤศจิกายน
2549
ยังระบุว่า
เวียดนามมีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงอันดับ
2
ของโลก
นอกจากนี้เวียดนามมีบรรยากาศที่เอื้อต่อการลงทุน
โดยรัฐบาลเวียดนามได้สร้างความมั่นใจกับนักลงทุนจากต่างชาติว่าจะปฎิรูประบบเศรษฐกิจให้เข้าสู่สากล
รัฐบาลเวียดนามยังมีความพยามในการปฏิรูประบบราชการให้มีความโปร่งใสมากขึ้น
ประการสำคัญรัฐบาลเวียดนามได้ดำเนินการแก้ปัญหาการทุจริตและคอร์รัปชันในวงราชการอย่างจริงจัง
จากความมุ่งมั่นดังกล่าวทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติเกิดความเชื่อมั่นต่ออนาคตเศรษฐกิจของเวียดนาม
ผลสะท้อนดังกล่าวแสดงให้เห็นจาก
ตัวเลขการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ
ซึ่งในปี
2548
มีการลงทุนจำนวน
6,800
ล้านเหรียญสหรัฐ
เพิ่มขึ้นจากปี
2547
ถึงร้อยละ
50
แต่ในปีนี้คาดว่าตัวเลขการลงทุนรวมทั้งสิ้นจะสูงกว่า
9,000
ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือ
340,000
ล้านบาท
ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้
8,600
ล้านเหรียญสหรัฐ
ซึ่งตัวเลขนี้สะท้อนว่าเศรษฐกิจของเวียดนามมีศักยภาพสูงมาก
เวียดนามยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลเวียดนามได้มีการปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจัง
โดยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาประเทศ
คือ
เน้นการพัฒนาการศึกษาเป็นอันดับแรก
เวียดนามเชื่อว่าการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีความรู้และความสามารถทำให้ประเทศมีความสามารถในการสร้างนวัตกรรมและต่อยอดองค์ความรู้
ต่างจากการพัฒนาที่เริ่มต้นด้วยเน้นการสร้างความเจริญด้านวัตถุก่อนแต่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติ
ทำให้ประเทศชาติเสี่ยงที่จะขาดความสามารถในการแข่งขันในภาวะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสังคมฐานความรู้
ที่กล่าวมาข้างต้น
ผมมิได้ต้องการยกย่องว่าคนเวียดนามว่าเก่งกว่าคนไทย
แต่ผมมองว่าการพ่ายแพ้ครั้งนี้อาจเป็นบทเรียนสำคัญที่รัฐบาลของเราควรเริ่มตระหนักและให้ความสำคัญในการพัฒนาประเทศ
โดยเพราะทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง
เพราะการแข่งขันในเวทีโลกนั้นไม่ใช่แค่เกมกีฬาแต่เพียงอย่างเดียว
|