เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ผู้บริหารของเครดิตบูโรเสนอแนวทางในการป้องกันปัญหาหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ด้วยการเตรียมเสนอแก้ไข
พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิต
พ.ศ.2545
โดยสาระสำคัญของกฎหมายคือ
ให้ผู้ประกอบธุรกิจโทรศัพท์มือถือส่งรายชื่อลูกค้าที่ค้างชำระค่าบริการทั้งหมดเข้าสู่ระบบเครดิตบูโร
ทั้งนี้จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาประมาณต้นเดือนธันวาคมนี้
ก่อนจะเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ผมคิดว่า
แม้การเสนอแก้กฎหมายจะมีวัตถุประสงค์ที่ดี
แต่ควรพิจารณาถึงประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับพร้อมทั้งต้องตระหนักถึงผลกระทบที่จะตามมาอย่างถี่ถ้วน
สถาบันการเงินขาดข้อมูลในการพิจารณาสินเชื่อหรือไม่?
ปัญหาหนี้เสียในปัจจุบัน
โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล
ส่วนหนึ่งไม่ได้เกิดจากสาเหตุที่สถาบันการเงินขาดข้อมูลของลูกค้า
หากแต่การบริการให้สินเชื่อบัตรเครดิตมักไม่นำข้อมูลจากเครดิตบูโรมาร่วมพิจารณามากนัก
แต่กลับเน้นการให้บริการเงินด่วนโดยคิดดอกเบี้ยสูงเพื่อชดเชยความเสี่ยงที่สูง
แทนที่จะพิจารณาความเสี่ยงจากข้อมูลในเครดิตบูโร
เราสามารถสังเกตได้จากผู้ใช้บัตรเครดิตจำนวนไม่น้อยเป็นลูกค้าบัตรเครดิตของหลายบริษัทหรือมีบัตรเครดิตหลายใบ
ตัวอย่างที่น่าสนใจเมื่อเร็วๆ
นี้
คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิภาพครูฯ
(สกสค.)
เปิดเผยผลการดำเนินการแก้ปัญหาหนี้สินครู
พบข้อมูลซึ่งน่าตกใจมากว่า
มีครูบางคนมีบัตรเครดิตถึง
16
ใบ
และใช้วิธีหมุนเงินจากบัตรใบหนึ่งไปใช้หนี้บัตรเครดิตอีกใบหนึ่ง
ส่งผลให้หนี้สินของครูเพิ่มสูงขึ้นและไม่มีวันจบสิ้นรวมทั้งประสบภาวะวงเงินในบัตรทุกใบเต็ม
หลักฐานดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าสถาบันการเงินบางส่วนไม่ได้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลดังกล่าว
จึงมีความเสี่ยงมากที่จะทำให้เกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้จากการใช้บัตรเครดิต
ดังนั้นก่อนที่จะนำแนวคิดในการเอาข้อมูลลูกค้าที่ค้างชำระค่าบริการมือถือเข้าสู่ระบบนั้น
จำเป็นต้องตอบคำถามให้ได้ก่อนว่า
ข้อมูลที่เครดิตบูโรมีอยู่ในปัจจุบันเพียงพอต่อการพิจารณาสินเชื่อหรือไม่
และการมีข้อมูลเพิ่มขึ้นจะทำให้ความเสี่ยงในการให้เงินกู้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญหรือไม่
การมีข้อมูลผู้ค้างชำระค่าโทรศัพท์จะทำให้หนี้เสียลดลงหรือไม่?
หากการแก้ไข
พ.ร.บ.สำเร็จ
มีความเป็นไปได้ว่า
อาจทำให้หนี้เสียเพิ่มขึ้นก็เป็นได้
เพราะโดยปกติแล้วประชาชนจะกู้เงินสำหรับนำไปชำระหนี้ระยะสั้นประเภทต่าง
ๆ เช่น
หนี้การค้าค่าสาธารณูปโภค
ค่าอุปโภคบริโภค
เป็นต้น
หากสถาบันการเงินนำข้อมูลการค้างชำระค่าโทรศัพท์มาใช้ในการพิจารณาสินเชื่อ
อาจทำให้ประชาชนหรือผู้ประกอบการรายย่อยขาดสภาพคล่อง
เพราะไม่สามารถกู้เงินเพื่อมาชำระหนี้ระยะสั้นได้
ทำให้ต้องไปกู้นอกระบบแทน
หรือกลายเป็นหนี้เสียเพิ่มขึ้น
มากยิ่งกว่านั้นรูปแบบธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เป็นลักษณะเดียวกันกับบริการสาธารณูปโภคประเภทอื่น
ๆ คือ
ลูกค้าจะใช้บริการไปก่อน
และผู้ประกอบการจะเรียกเก็บเงินในภายหลัง
ในอนาคตภาครัฐอาจรวมข้อมูลการค้างชำระค่าบริการสาธารณูปโภคประเภทอื่นเข้าไปด้วย
เช่น
ไฟฟ้า
ประปา
โทรศัพท์พื้นฐาน
เป็นต้น
ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น
จะทำให้ประชาชนที่มีปัญหาเงินขาดมือ
มีโอกาสน้อยลงที่จะได้รับเงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง
นอกเหนือจากที่กล่าวมา
ยังมีข้อถกเถียงถึงความเหมาะสมเรื่องสิทธิเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล
ดังนั้นการออกกฎหมายฉบับนี้จำเป็นต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลประโยชน์และผลกระทบ
รวมทั้งสร้างกลไกในการกำกับดูแลการใช้ข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนว่าจะได้รับการคุ้มครองสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคลอย่างเหมาะสม |