เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
การกำหนดแนวทางรับนักเรียนใหม่ปีการศึกษา
2550
กระทรวงศึกษาธิการได้ชูประเด็นเรื่อง
“ค่าแป๊ะเจี๊ยะ”
ของโรงเรียนรัฐบาล
เพื่อหาแนวทางป้องกันและกำจัดระบบดังกล่าว
ทั้งนี้โรงเรียนส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้มีการยกเลิกค่าแป๊ะเจี๊ยะไปหมด
ซึ่งกระทรวงศึกษาธิการจะทำการสรุปจากความคิดเห็นของโรงเรียนต่าง
ๆ
ภายในสัปดาห์นี้
อย่างไรก็ตามมีแนวโน้มว่ากระทรวงศึกษาธิการ
จะตัดเงินส่วนนี้ให้หมดไปจากระบบ
โดยไปเพิ่มสัดส่วนของการสอบแข่งขันจากเดิมมีร้อยละ
40
เป็นร้อยละ
50
และจับฉลากอีกร้อยละ
50
แต่หากโรงเรียนใดมีความจำเป็นต้องเก็บค่าแป๊ะเจี๊ยะ
ยังคงสามารถทำได้
แต่ต้องมีเหตุผลที่ดีเพียงพอ
“ค่าแป๊ะเจี๊ยะ”
เป็นประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์และกล่าวถึงมากทุก
ๆ
ช่วงใกล้เปิดเรียน
นับเป็นปัญหาที่แยกจากกันไม่ได้ระหว่าง
“การศึกษา”
กับ
“ค่านิยม”
โดยผู้ปกครองยอมลงทุนการศึกษาจำนวนมาก
เพื่อแลกกับที่นั่งในโรงเรียนที่มีชื่อเสียง
การแก้ไขปัญหา
“แป๊ะเจี๊ยะ”
มิใช่เรื่องงานเพราะเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน
และฝังรากลึกในสังคมไทยมานาน
แต่ใช่ว่าจะไม่มีทางออก
โดยผมเสนอว่าการแก้ปัญหาแป๊ะเจี๊ยะให้สำเร็จได้จริง
จำเป็นต้องเริ่มจากการกำหนดการจัดการที่เป็นระบบ
มีความโปร่งใสตรวจสอบได้
และจำเป็นต้องสอดคล้องกับบริบทสังคมไทยที่ผู้ปกครองต่างอยากให้บุตรหลานเข้าเรียนในสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง
ในขณะที่คุณภาพในการจัดการศึกษาของแต่ละโรงเรียนมีความแตกต่างกัน
โดยผมเสนอว่าดำเนินการอย่างเป็นลำดับใน
4
ขั้นตอน
ดังนี้
ขั้นตอนที่
1
กำหนดกฎและระเบียบที่เกี่ยวกับการเก็บแป๊ะเจี๊ยะ
รัฐกำหนดระยะเวลาอนุญาตให้เก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะ
โดยกำหนดว่าจะให้โรงเรียนกลุ่มนี้มีการเก็บแป๊ะเจี๊ยะอย่างถูกต้องไปในระยะยาวได้ต่อไปแต่ในสัดส่วนที่น้อยมาก
หรือจะไม่ให้มีการเก็บแป๊ะเจี๊ยะเลย
โรงเรียนที่ต้องการรับแป๊ะเจี๊ยะแจ้งความจำนงต่อต้นสังกัด
โดยมีเงื่อนไขว่าอัตราส่วนจำนวนผู้สมัครสอบเข้าเรียนต่อจำนวนเด็กที่จ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะเข้ามาเรียน
ต้องมีจำนวน
9:1
ซึ่งมาจากแนวคิดที่ว่า
เด็กที่จะเข้ามาเรียนโดยการจ่ายค่าแป๊ะเจี๊ยะ
ต้องไม่เกินร้อยละ
5-10
ของที่นั่งเรียนทั้งหมดเพื่อไม่ให้ไปลดโอกาสการเข้าเรียนของเด็กที่สอบซึ่งจะกล่าวถึงในขั้นตอนที่
2
คณะกรรมการสถานศึกษาร่วมกำหนดจำนวนเงินแป๊ะเจี๊ยะที่ต้องการ
จากนั้นแจ้งกรมต้นสังกัดทราบ
และอนุมัติ
แล้วจึงขอดำเนินการรับบริจาคได้
จัดสรรค์สัดส่วนเด็กบริจาคอย่างเป็นธรรม
ควรมีการกำหนดสัดส่วนเด็กที่จ่ายเงิน
เช่น
ไม่เกินร้อยละ
5-10
ของจำนวนที่นั่งในโรงเรียน
กำหนดให้เก็บในรูปแบบเงินบริจาคหรือกองทุนฯ
สมทบเข้าบัญชีโรงเรียนเท่านั้น
และไม่รับเป็นเงินสดสดแต่ต้องโอนผ่านธนาคารหรือสถาบันการเงิน
โดยมีใบเสร็จรับเงินเป็นหลักฐาน
การบริจาคเป็นไปโดยผู้ปกครองสมัครใจ
โดยกำหนดตัวบุคคล
หรือคณะที่รับและบริหารเงินบริจาคนี้อย่างชัดเจน
เพื่อป้องกันการทุจริต
ควรได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษา
ทั้งเรื่องการขอเข้าเป็นกลุ่มโรงเรียนที่รับผู้เรียนแบบจ่ายเงิน
การกำหนดเพดานการเก็บเงินแป๊ะเจี๊ยะ
การกำหนดโควต้าที่นั่งผู้เรียนแบบจ่ายเงิน
และการกำหนดกลุ่มผู้รับและบริหารเงินบริจาคนี้
และแจ้งผลใช้จ่ายเงินส่วนนี้อย่างชัดเจนให้ต้นสังกัด
กำหนดให้โรงเรียนแจ้งผลใช้จ่ายเงิน
ให้แก่ต้นสังกัดให้ชัดเจน
รวมถึงผู้ปกครอง
และประชาชนทีต้องการทราบ
เป็นการสร้างความรับผิดชอบ
และมีมาตรการตรวจสอบการใช้เงินตามวัตถุประสงค์
ขั้นตอนที่
2
การกำหนดสัดส่วนกลุ่มเด็กเข้าเรียนโดยจ่ายเงิน
เด็กที่จ่ายเงินเพื่อเข้าโรงเรียนจะต้องน้อยมาก
คือ
ไม่ไปลดสิทธิและโอกาสการเข้าเรียนของเด็กที่สอบได้มากนัก
เช่น
ในระยะสั้นอาจกำหนดโควต้าเด็กจ่ายเงินเพื่อเข้าเรียนร้อยละ
5
ถึง
10
ของที่นั่งเรียน
อย่างไรก็ตาม
ควรแยก
“กลุ่มเด็กที่จ่ายเงินเข้าเรียน”
กับ
“กลุ่มเด็กของผู้มีอุปการคุณ”
ออกจากกัน
และให้มีการจัดระเบียบแป๊ะเจี๊ยะแก่กลุ่มผู้มีอุปการคุณนี้ด้วย
ขั้นตอนที่
3
การกำหนดขั้นตอนและรูปแบบการคัดเลือกกลุ่มเด็กที่จ่ายเงินเข้าเรียน
ขั้นตอนย่อยที่
1
การให้กลุ่มเด็กจะจ่ายเงินเข้าเรียนได้มีโอกาสสอบแข่งขัน
การจับฉลาก
พิจารณาผลการเรียน
และความสามารถพิเศษก่อน
ซึ่งเป็นไปตามระเบียบที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด
โดยยังไม่มีการให้จ่ายเงินเข้าเรียนในรอบนี้
เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้สมัครสอบทุกกลุ่มมีสิทธิเท่าเทียมกันในการเข้าเรียน
ขั้นตอนย่อยที่
2
วิธีการคัดเลือกกลุ่มเด็กที่จ่ายเงินเข้าเรียน
ซึ่งรอบ
2
เป็นรอบที่ไว้สำหรับเด็กจ่ายเงิน
50
ที่นั่ง
(ไม่เกิน
5-10%ของที่นั่งเรียนทั้งหมด)
ที่สอบไม่ติดในรอบแรก
ก)
จ่ายเงินเท่ากันและแข่งขัน
โรงเรียนแจ้งไปยังผู้ที่สอบไม่ผ่านในรอบแรก
ให้เสนอความจำนงในเข้าเรียนรอบสอง
โดยมีเงื่อนไขว่า
การสอบรอบสองจะต้องให้บริจาคเงินด้วย
โดยกำหนดอย่างชัดเจนว่า
50
คนนี้ต้องจ่ายคนละเท่าใด
ข)
ประมูลโดยกำหนดจำนวนคน
โดยการคัดเลือก
50
คนนี้
จะจัดให้ผู้เรียนเสนอตัวเลขเงินบริจาคมายังคณะกรรมการสถานศึกษา
หรือผู้บริหารจัดการรับและดูแลเงินส่วนนี้
(ซึ่งแต่ละโรงเรียนต้องกำหนดขึ้นมาอย่างเป็นทางการ)
ผู้ที่เสนอเงินบริจาคสูงสุด
50
คนแรก
จะได้รับสิทธิ์ในการเข้าเรียน
ค)
ประมูลโดยกำหนดจำนวนเงินที่ต้องการ
เริ่มจากการให้โรงเรียนกำหนดเงินบริจาคที่ต้องการไว้อย่างชัดเจน
เช่น
ปีนี้ต้องการเงินบริจาคเพิ่ม
3
ล้านบาท
โดยให้ผู้ต้องการเข้าเรียนในรอบ
2
หรือ
50
ที่นั่งนี้
เสนอตัวเลขเงินบริจาคเข้ามายังคณะกรรมการสถานศึกษา
อย่างไรก็ตาม
โรงเรียนควรดำเนินการดังนี้ควบคู่ไปด้วย
เช่น
กลุ่มเด็กที่เข้ามาโดยการบริจาคเงินต้องสอบผ่านระดับคะแนนมาตรฐาน
เด็กที่ได้เข้าเรียนในกลุ่มนี้ทุกคน
ควรมีส่วนร่วมจ่ายค่าบริการเสริมต่าง
ๆ
เพิ่มเติมด้วย
เพื่อไม่ผลักให้เป็นภาระแก่กลุ่มเด็กที่จ่ายเงินเข้าเรียนเท่านั้น
และให้ทุนกลุ่มเด็กยากจนแต่เรียนดี
ขั้นตอนที่
4
กำหนดแนวทางร่วมอื่น
ตัวอย่างเช่น
การเก็บค่าเล่าเรียนลอยตัว
การระดมเงินบริจาคสู่สถานศึกษา
การสนับสนุนให้คณะกรรมการสถานศึกษาให้มีส่วนร่วมมากขึ้น
การหามาตรการเก็บเงินเสริมพิเศษ
แทนรูปแบบการเก็บแป๊ะเจี๊ยะ
การสนับสนุนให้ผู้เรียนในโรงเรียนกลุ่มนี้สละสิทธิการขอรับเงินอุดหนุนรายหัว
การสร้างความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องแก่ประชาชน
โดยเฉพาะผู้ปกครองเกี่ยวกับสิทธิของตนที่พึงได้รับ
และมีช่องทางร้องเรียนหากพบว่าไม่โปร่งใส
สร้างเครือข่ายผู้ปกครองที่เข้มแข็งในการร้องเรียน
ตรวจสอบและมีส่วนร่วมตัดสิน
รวมถึงการเปลี่ยนทัศนคติที่ไม่ถูกต้องของพ่อแม่
เช่น
การมีค่านิยมส่งลูกเข้าเรียนโรงเรียนมีชื่อเสียง
หรือการลงทุนเพื่อการเรียนของลูก
อาทิ
โรงเรียนอาจไม่ต้องดีที่สุด
แต่
"พ่อแม่ต้องเป็นครูที่ดีที่สุด"
เป็นต้น
ผมอยากให้ทุกฝ่ายช่วยกันมอง
เรื่องการแก้ปัญหา
“แป๊ะเจี๊ยะ”
กับโรงเรียนดัง
โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อร่วมกันแก้ปัญหา
ผ่านการมองจากหลากหลายมุมและพยายามหาทางออกที่เป็นไปได้
เพื่อแก้ปัญหา
“แป๊ะเจี๊ยะ”
ได้อย่างสมจริงสมจัง
และสำเร็จได้
|