|
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
ประเด็นที่อยู่ในความสนใจของผู้เกี่ยวข้องในแวดวงการศึกษาคือ
การเสนอให้แยกสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
(สกอ.)
ออกจากกระทรวงศึกษาธิการ
ที่อดีตเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา
เสนอต่อคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
เมื่อวันที่
25
กันยายน
ที่ผ่านมา
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการอุดมศึกษา
และให้องค์กรใหม่เน้นบทบาทหน้าที่ด้านการวิจัยมากขึ้น
การวางแผนเพื่อปรับปรุงการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพดังแนวทางที่อดีตเลขาธิการ
สกอ.
เสนอ
แม้มาจากความหวังดีต่อการอุดมศึกษาและระบบการศึกษา
หากแต่ที่ผ่านมาในทางปฏิบัติพบปัญหาคือ
การใช้เวลากว่า
6
ปีในการจัดโครงสร้างกระทรวง
ทำให้การปฏิรูปการศึกษาเกิดสุญญากาศ
เกิดความไม่ชัดเจนในแง่นโยบายและการนำนโยบายไปสู่ภาคปฏิบัติ
ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาในภาพรวมเกิดความล่าช้า
ทั้งในส่วนของการอุดมศึกษาเองประสบปัญหาสภาพความเป็นอิสระของมหาวิทยาลัยที่ปราศจากกลไกในการควบคุมทิศทางการจัดการอุดมศึกษาทั้งระบบ
ทำให้การลงทุนระดับอุดมศึกษาเกิดการสูญเปล่า
ไม่คุ้มค่า
ขาดประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและจัดสรรทรัพยากร
ส่งผลต่อการผลิตบัณฑิตที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน
ดังนั้น
หากต้องการให้การปรับโครงสร้างใหม่ประสบความสำเร็จ
ควรปรับเปลี่ยนแนวทางการดำเนินการใหม่
ที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างแท้จริง
อาทิ
การวางวิสัยทัศน์อุดมศึกษาแห่งชาติ
คือ
การจัดตั้งกระทรวงใหม่
ควรให้เป็นกระทรวงที่ทำหน้าที่วางวิสัยทัศน์
และกำหนดยุทธศาสตร์อุดมศึกษาแห่งชาติด้วย
ให้เป็นองค์กรหลักในการวางนโยบาย
วิสัยทัศน์
ที่เอื้อต่อการพัฒนาอุดมศึกษาไทยให้มีคุณภาพทัดเทียมกับสากล
เป็นองค์กรที่มีพลังผลักดันให้มีการพัฒนา
และผลิตกำลังคน
สร้างสรรค์องค์ความรู้ได้เป็นอิสระมากขึ้น
การผลักดันให้มหาวิทยาลัย
แสวงหา
และพัฒนาตามเอกลักษณ์ของตน
โดยกำหนดให้มีการค้นหาความเชี่ยวชาญของตนเอง
และพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับความเชี่ยวชาญนั้น
ๆ
ซึ่งเป็นการทุ่มทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อทำสิ่งที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศภาพรวม
และสามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น
การปฏิรูประบบการจัดสรรงบประมาณ
โดยกำหนดกลไกการพิจารณางบประมาณที่สะท้อนต้นทุนอย่างละเอียดเฉพาะเจาะจงอย่างมีหลักเกณฑ์ที่ชอบด้วยเหตุผล
เพื่อให้สามารถกำหนดการผลิตกำลังคนและองค์ความรู้ได้ตามเป้าหมาย
และลดการผลิตส่วนเกินได้
การจัดอันดับการแข่งขันของมหาวิทยาลัย
โดยมีการกำหนดตัวชี้วัดและค่าถ่วงน้ำหนักในแต่ละกลุ่มเปรียบเทียบที่ชัดเจนเป็นที่ยอมรับจากประชาคมทุกมหาวิทยาลัย
เพื่อนำไปสู่การพัฒนาคุณภาพ
และสร้างบรรยากาศแข่งขัน
และสะท้อนประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลในการดำเนินการของมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งได้ชัดเจนขึ้น
ดังนั้น
หากการปรับเปลี่ยนครั้งนี้จะเป็นการปรับเปลี่ยนแนวทางการทำงานใหม่
ที่เอื้อต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษามากขึ้นแล้ว
ผมเชื่อว่า
สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวอย่างของคำตอบในการนำพาระบบการศึกษาไทยทุกระดับให้มีส่วนเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศได้มากยิ่งขึ้น
|