เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เป็นที่ถูกจับตาอย่างยิ่งว่า
คณะกรรมการการเลือกตั้ง
(กกต.)
ชุดใหม่จะเป็นใคร
ที่จะเข้ามาจัดการเลือกตั้งทั้งการเลือกตั้งในระดับชาติและการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นอย่างสุจริตและเที่ยงธรรม
ตลอดจนเข้ามาบริหารองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด
อันจะส่งผลดีต่อการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
ผมเชื่อว่า
สังคมไทยคาดหวังอย่างสูงต่อการสรรหาคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดใหม่
ดังนั้นที่ประชุมศาลฎีกาควรกำหนดคุณสมบัติเบื้องต้นบางประการของบุคคลที่จะถูกสรรหาหรือผู้ที่ประสงค์จะลงสมัครเป็น
กกต.
ซึ่งผมขอเสนอเกณฑ์ในการคัดเลือกดังต่อไปนี้
ประการแรก…ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง
หมายความว่า
บุคคลที่ถูกสรรหานั้นจะต้องไม่เป็นญาติหรือเพื่อนสนิทที่ฝักใฝ่กับนักการเมืองใด
ๆ
ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองกับพรรคการเมืองต่าง
ๆ
เป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า
5
ปี
การแสดงจุดยืนและการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้นพิสูจน์ได้ว่าไม่เอนเอียงหรือเข้าข้างพรรคการเมืองใด
ๆ
และไม่มีประวัติที่ชี้ได้ว่ามีความสัมพันธ์กับนักการเมืองจนทำให้ได้รับสัมปทานจากภาครัฐ
เติบโตในทางราชการด้วยระบบอุปถัมภ์
หรือร่ำรวยอย่างผิดปกติ
ว่าที่กกต.ใหม่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับนักการเมือง
จะทำให้กระบวนการจัดการเลือกตั้งนั้นเกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ไม่เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในทางการเมือง
หรือข้อครหาต่าง
ๆ ต่อ
กกต.ชุดใหม่ที่จะเกิดขึ้น
และที่สำคัญจะทำให้สังคมเกิดความไว้เนื้อเชื่อใจว่า
กกต.จะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความถูกต้องและเที่ยงธรรม
โดยเห็นแก่ประโยชน์และความสงบสุขของประเทศเป็นสำคัญ
ประการที่สอง…มีความรู้ความเข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตย
กระบวนการสรรหา
กกต.จะต้องมีการตรวจสอบแนวคิดจากผลงานการพูด
การเขียน
และการแสดงออกในอดีต
รวมทั้งมีบททดสอบ
ทั้งการสัมภาษณ์
การแสดงความคิดเห็นและวิสัยทัศน์
เพื่อให้ทราบว่าผู้สมัครหรือผู้ถูกสรรหาเป็น
กกต.ชุดใหม่มีทัศนะอย่างไรต่อสภาพการเมืองไทย
และมีความเข้าใจต่อปัญหาของสังคมการเมืองไทยจนทำให้เกิดปัญหาการซื้อสิทธิขายเสียงและการใช้เล่ห์กลที่ทำร้ายคู่แข่งขันทางการเมืองหรือไม่
เพื่อให้ได้
กกต.ที่สามารถเตรียมการป้องกันปัญหาทุจริตการเลือกตั้ง
และสามารถขจัดนักการเมืองที่ทุจริตไม่ให้เข้าสู่อำนาจทางการเมือง
ไม่เพียงเท่านั้น
หาก กกต.ชุดใหม่
มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการพัฒนาทางการเมือง
จะส่งผลต่อการวางยุทธศาสตร์ที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข
อันจะส่งผลทำให้สังคมการเมืองมีความเข้มแข็ง
ประชาชนมีวัฒนธรรมทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตย
และมีส่วนร่วมในการปฏิรูปการเมืองไทย
ซึ่งจะทำให้เกิดการพัฒนาของการเมืองไทยมากยิ่งขึ้น
ประการที่สาม…มีความซื่อสัตย์สุจริต
โดยมีประวัติบุคคลและการทำงานไม่บกพร่องและด่างพร้อย
กล่าวคือ
ผู้เข้ารับการคัดเลือกเป็น
กกต.
จะต้องมีประวัติการทำงานที่มีความซื่อสัตย์สุจริต
ไม่มีความเสียหายในด้านประวัติการทำงาน
หรือไม่เคยถูกสอบสวนในการปฏิบัติหน้าในทางที่ผิดหรือมีความผิดตามข้อกล่าวหา
หรือไม่เคยมีประวัติเกี่ยวกับการให้สินบนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือนักการเมือง
เพื่อเอื้อประโยชน์ในการทำธุรกิจหรือผลประโยชน์ต่างตอบแทนต่อกัน
และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้สมัครหรือผู้ถูกสรรหาเป็น
กกต.จะต้องสามารถชี้แจงได้ว่าทรัพย์สินของตนและครอบครัวมีที่มาอย่างไร
เพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงการใช้อำนาจหน้าที่โดยไม่ทุจริต
หาก กกต.ชุดใหม่มีคุณสมบัติข้อดังกล่าวจะเป็นหลักประกันได้ในระดับหนึ่งว่า
คนเหล่านี้จะไม่ใช้อำนาจหน้าที่ในการแสวงหาผลประโยชน์ต่าง
ๆ
ให้กับตนเองและพวกพ้อง
ประการที่สี่…มีความเชี่ยวชาญที่หลากหลาย
การดำเนินการจัดการเลือกตั้งนับเป็นงานที่หนักและยากมาก
เนื่องจากงานของ
กกต.ต้องใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญหลายด้าน
ตั้งแต่การบริหารจัดการเลือกตั้ง
การสืบสวนสอบสวนเพื่อหาข้อเท็จจริงและวินิจฉัย
การออกประกาศและคำสั่งต่าง
ๆ
การสนับสนุนกิจการพรรคการเมือง
การประสานกับหน่วยงานราชการและท้องถิ่น
การสร้างเครือข่ายกับภาคประชาชน
การให้การศึกษาและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนเกี่ยวกับการปกครองระบอบประชาธิปไตย
และการประกาศผลเลือกตั้ง
ดังนั้นผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อให้วุฒิสภาคัดเลือกเป็น
กกต.ชุดใหม่ทั้ง
10
ท่าน
ควรเป็นบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญที่แตกต่างกัน
มาจากหลากหลายวิชาชีพ
และหลากหลายความรู้ความสามารถและประสบการณ์
ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อฯ
ไม่ควรกระจุกตัวอยู่เพียงวิชาชีพใดวิชาชีพหนึ่งเท่านั้น
เพื่อให้เราได้
กกต.ชุดใหม่ที่มีความหลากหลาย
ซึ่งสามารถแบ่งงานกันทำตามความเชี่ยวชาญ
และมีส่วนช่วยเหลือสนับสนุนซึ่งกันและกันในการทำงาน
อันจะส่งทำให้การจัดการเลือกตั้งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
ควบคู่ไปกับความสุจริตและเที่ยงธรรม
โดยสรุป
คุณสมบัติพื้นฐานของ
กกต.
ชุดใหม่มีความสำคัญมาก
ดังนั้น
การสรรหา
กกต.ชุดใหม่
คงจะต้องใช้ความรอบคอบ
โดยให้ความสำคัญกับการตรวจสอบด้านความเป็นกลาง
ประวัติการทำงาน
ความรู้ความเข้าใจในระบอบประชาธิปไตย
และแสวงหาจากบุคคลที่หลากหลาย
เพื่อที่จะทำให้ประชาธิปไตยมีความมั่นคง
เกิดการพัฒนาทางการเมือง
และประชาชนเกิดความศรัทธาต่อการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญได้อย่างสนิทใจ
|