เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
เมื่อไม่นานมานี้
คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
(คปค.)
ได้เรียกประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางกรอบงบประมาณปี
2550
ซึ่งแม้ในเวลานี้ยังไม่มีข้อสรุปว่างบประมาณปี
2550
จะเป็นอย่างไร
แต่ทันทีที่ได้ข้อสรุป
คปค.จะอนุมัติการเบิกจ่ายทันทีโดยไม่รอรัฐบาลใหม่
และคาดว่าจะสามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณปี
2550
ได้ในเดือนมกราคม
2550
ในกรณีนี้
ทางกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย
ได้แสดงความเห็นไปในทางเดียวกันว่า
ควรจัดงบประมาณในลักษณะขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในปีหน้า
ซึ่งผมเองเห็นด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะนโยบายการคลังแบบขาดดุลสอดคล้องกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันและในปีหน้าที่มีแนวโน้มชะลอตัว
เนื่องจากขาดแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ
โดยเห็นได้จากสัญญาณต่าง
ๆ เช่น
การชะลอตัวของการบริโภค
เห็นได้จากรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนสิงหาคมขยายตัวเพียงร้อยละ
9.1
เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ชะลอตัวลงจากเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ
13.9
และชะลอตัวต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา
ส่วนมูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ
14.7
ชะลอตัวลงจากร้อยละ
23.1
ในเดือนกรกฎาคม
เพราะอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจูงใจให้ประชาชนออมเงิน
และราคาน้ำมันที่สูงทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้น
แนวโน้มการบริโภคภาคเอกชนในปีหน้าจะยังคงชะลอตัว
เพราะอัตราดอกเบี้ยและราคาน้ำมันที่ยังคงทรงสูงอยู่ในระดับสูง
การหดตัวของการลงทุนภาคเอกชน
โดยเฉพาะในหมวดการก่อสร้าง
ซึ่งทำให้ภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนสิงหาคมลดลงร้อยละ
11.5
เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม
ในขณะที่มูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนหดตัวลงร้อยละ
0.1
เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม
ซึ่งเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมา
สาเหตุยังคงมาจากอัตราดอกเบี้ยที่สูงทำให้ผลตอบแทนการลงทุนไม่จูงใจ
และปัญหาทางการเมือง
ทำให้ต่างประเทศไม่กล้าเข้ามาลงทุน
ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะดีขึ้นแต่ยังคงขาดความชัดเจนในเรื่องนโยบาย
การจัดงบประมาณแบบขาดดุลเพื่อให้ภาครัฐมีงบประมาณเพื่อใช้จ่ายมากขึ้น
จึงน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยให้ขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง
แต่สิ่งที่ต้องพิจารณาต่อไป
คือ
การตั้งงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบด้านลบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและฐานะการคลังของประเทศหรือไม่?
การจัดทำงบประมาณขาดดุลจะไม่กระทบเสถียรภาพของระดับราคาสินค้า
เพราะอัตราเงินเฟ้อในช่วงที่ผ่านมาทรงตัวในระดับที่ไม่สูงมาก
และมีแนวโน้มขยายตัวลดลง
โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องมาอยู่ที่ร้อยละ
3.8
จากร้อยละ
4.4
ในเดือนกรกฎาคม
สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน
ซึ่งไม่รวมราคาอาหารสดและพลังงาน
ขยายตัวร้อยละ
1.9
ในเดือนสิงหาคม
ชะลอตัวเล็กน้อยจากร้อยละ
2.0
ในเดือนกรกฎาคม
สาเหตุที่เงินเฟ้อปรับตัวลดลง
เนื่องจากราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดลง
นอกจากนี้แนวโน้มเงินเฟ้อในปีหน้าน่าจะอยู่ในระดับต่ำ
เนื่องจากราคาน้ำมันเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ส่วนการขาดดุลไม่กระทบเสถียรภาพทางการคลัง
เพราะสัดส่วนหนี้สาธารณะในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ
41.64
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ
(จีดีพี)
ซึ่งยังคงต่ำกว่าเพดานหนี้สาธารณะที่กำหนดให้ไม่เกินร้อยละ
50
ของจีดีพี
แสดงว่าเรายังสามารถเป็นหนี้เพิ่มขึ้นจากการจัดงบประมาณขาดดุลได้
การจัดงบประมาณขาดดุลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในเวลานี้เป็นสิ่งที่จำเป็น
แต่วงเงินงบประมาณจะเป็นเท่าไรนั้น
ต้องคำนึงถึงเป้าหมายต่าง
ๆ
อย่างสมดุล
ระหว่างการทำให้เศรษฐกิจยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
โดยไม่กระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจ
|