สวัสดีครับ
มิตรสหายทุกท่าน
จากการเปิดอภิปรายของรัฐสภาในวาระพิเศษเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาความยากจน
ที่ได้ผ่านพ้นไปในวันที่
31 มีนาคม 2548
นั้น
ทำให้ผมได้มีโอกาสศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการขจัดความยากจนให้หมดไปจากประเทศไทย
และได้พบความจริงว่า
การทำสงครามกับความยากจนของรัฐบาลจะไม่มีวันชนะ
เพราะรัฐบาลยังไม่รู้จักคนจนและไม่เข้าใจความจน
รัฐบาลเน้นการใช้นโยบายแบบปูพรม
ใช้รูปแบบเดียวกันกับทุกพื้นที่
ไม่มีจุดยุทธศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาความยากจน
เหมือนไม่รู้ว่าคนยากจนอยู่ที่ไหน
ทั้ง ๆ
ที่ได้ลงทะเบียนคนยากจนแล้ว
ทำให้งบประมาณถูกใช้อย่างกระเซ็นกระสาย
คนจนได้รับการช่วยเหลือไม่เต็มที่
ถึงแม้ว่านโยบายของรัฐจะเน้นการขยายโอกาสให้คน
แต่ยังไม่เพียงพอ
เพราะกลุ่มคนจนที่สุดมักเข้าไม่ถึงบริการของรัฐ
เช่น
การกู้เงินจากโครงการต่าง
ๆ ของรัฐบาล
คนยากจนมาก ๆ
จะกู้ไม่ได้เพราะไม่มีผู้ค้ำประกันและไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน
แม้โครงการ 30
บาทรักษาทุกโรค
ที่เข้าถึงประชาชนมากที่สุดแล้ว
แต่คนยากจนที่สุด
คนเร่ร่อน
และคนชายขอบยังเข้าไม่ถึง
เพราะไม่มีบัตรประชาชน
ดังนั้นรัฐควรจัดทำการสำรวจวิจัยระดับชาติ
ค้นหาคนจนและพื้นที่ที่ยากจน
เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ในการกำหนดยุทธศาสตร์แก้ความยากจนอย่างเบ็ดเสร็จ
โดยแบ่งการสำรวจออกเป็น
ประเภทหมู่บ้านและประเภทคนจน
สำรวจว่าหมู่บ้านที่ยากจนอยู่ที่ไหน
และแบ่งเป็นหมู่บ้านที่ยากจนดักดาน
ให้เป็นสีแดง
หมู่บ้านที่จนปานกลาง
ให้เป็นสีเหลือง
ส่วนหมู่บ้านที่จนน้อย
ให้เป็นสีเขียว
ซึ่งงานวิจัยของธนาคารโลก
ระบุว่า
หมู่บ้านที่ยากจนที่สุด
10%สุดท้ายมีคนจนรวมกันเท่ากับ
1 ใน 3
ของคนจนทั้งประเทศ
ดังนั้นหากรัฐบาลเลือกทุ่มงบประมาณลงไปแก้ไขปัญหาในหมู่บ้านที่ยากจนจริง
ๆ
จะสามารถช่วยเหลือคนยากจนได้มากกว่าที่เป็นอยู่
ส่วนคนจน
ควรมีการสำรวจและจัดประเภทคนจนออกเป็น
3 สีเช่นเดียวกัน
คือ
สีแดงเป็นคนจนที่พึ่งตนเองไม่ได้
แม้ได้รับการพัฒนา
สีเหลือง
พอพึ่งตนเองได้
ถ้าได้รับการพัฒนา
และสีเขียว
ยังสามารถพึ่งตนเองได้
แม้ไม่ได้รับการพัฒนา
การแบ่งสีจะช่วยให้รัฐบาลสามารถกำหนดนโยบายที่แตกต่างกันสำหรับคนจนแต่ละประเภท
คนจนสีเขียวอาจแก้ไขปัญหาได้ด้วยการขยายตัวทางเศรษฐกิจ
คนจนสีเหลืองต้องพัฒนาให้สามารถพึ่งพาตนเองได้
โดยการฝึกอบรมอบรมและจัดหางานให้ทำ
ส่วนคนจนสีแดง
รัฐจะต้องเข้าไปอุ้มให้ดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี
|