Go www.kriengsak.com

ประวัติ

ครอบครัว

งานวิชาการ

กิจกรรม

Press

Contact us

ค้นหา

 

ขอคิดอย่างสร้างสรรค์

 
เลื่อนลอยตัวค่าก๊าซ : มาตรการโกยคะแนนระยะสั้น
Postponing the Price Flotation of Natural Gas :
A Political Strategy to Gain Votes?

 

1 กันยายน 2549

เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก                                            
            

จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ประกาศเลื่อนระยะเวลาลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจีที่ใช้ในภาคขนส่งและที่ใช้ในการหุงต้มออกไปจนถึงสิ้นปี โดยอ้างว่าให้เวลากับภาคขนส่งเปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีให้ครบ 60,000 คันก่อน แถมยังยืนยันไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่ต้องการดูแลประชาชนไม่ให้กระทบ

ผมวิเคราะห์ว่า เหตุผลที่กระทรวงพลังงานเลื่อนการลอยตัวราคาก๊าซดังกล่าวออกไป แท้จริงแล้วรัฐบาลไม่ได้เป็นห่วงประชาชนตามข้อกล่าวอ้าง แต่น่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง เพราะรัฐบาลน่าจะเป็นห่วงคะแนนนิยมของตนมากกว่า

ประมาณต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา   รัฐบาลประกาศจะลอยตัวราคาก๊าซที่ใช้ในรถยนต์และก๊าซหุ้งต้มในครัวเรือน ซึ่งเหตุผลในเวลานั้นของรัฐบาลคือหากลอยตัวเฉพาะแอลพีจีสำหรับรถยนต์อาจเกิดการลักลอบนำแอลพีจีสำหรับการหุงต้มที่เป็นก๊าซชนิดเดียวกันไปใช้รถยนต์ ซึ่งอาจเกิดอันตราย

ผมจึงเขียน e-letter เรื่อง ลอยตัวค่าก๊าซ : มาตรการซ้ำเติมค่าครองชีพ (Floating natural gas prices: Effects on standard of living) โดยแสดงความเป็นห่วงว่า มาตรการนี้จะกระทบค่าครองชีพของครัวเรือน โดยที่ประชาชนไม่มีพลังงานทางเลือกอื่น ตรงข้ามกับการลอยตัวราคาก๊าซในระบบขนส่ง เพราะผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีส่วนใหญ่เป็นรถแท็กซี่และผู้โดยสารรถแท็กซี่เป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างมีฐานะ และยังมีทางเลือกโดยสารได้หลายวิธี

การเลื่อนการลอยตัวค่าก๊าซแอลพีจีในภาคครัวเรือนออกไปนั้น ผมเห็นว่ามีความเหมาะสม แม้รัฐจะต้องเข้าไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม แต่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากค่าครองชีพที่สูงอยู่แล้ว แต่การเลื่อนการลอยตัวราคาก๊าซในภาคขนส่งอาจไม่เหมาะสม เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าราคาก๊าซแอลพีจีมีราคาถูกกว่าเบนซิน ทั้งที่ในความเป็นจริงราคาก๊าซในปัจจุบันบิดเบือนกลไกตลาด เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้าช่วยพยุงราคาเอาไว้ประมาณกิโลกรัมละ 6 บาท

ผลจากความเข้าใจผิดนี้ จะทำให้ผู้ใช้ก๊าซในภาคขนส่งไม่มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง เช่นเดียวกับกรณีก่อนการเลือกตั้งเมื่อต้นปี 2548 ที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมัน ทำให้ราคาน้ำมันต่ำกว่าความเป็นจริง ประชาชนจึงตอบสนองด้วยการไม่คิดที่จะประหยัดพลังงาน มีการออกรถใหม่เป็นจำนวนมาก และต้องนำเข้าน้ำมันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ไทยประสบกับภาวะขาดดุลการค้า

ผมคาดว่า ผลของการขยายระยะเวลาลอยตัวราค่าก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งออกไปอีก 6 เดือน จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ภาคขนส่งโดยเฉพาะกิจการรถแท๊กซี่ไม่หันมาใช้ระบบเอ็นจีวี เนื่องจากผู้ประกอบการจะไม่มีแรงกระตุ้น โดยคิดว่ายังไม่ถึงเวลาและไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิง แต่จะฉวยโอกาสทำกำไรระยะสั้นในช่วงผ่อนผันนี้ ดีกว่าจะรีบเสียเงินค่าติดตั้งเอ็นจีวีซึ่งมีต้นทุนที่สูงก่อนเวลา

มาตรการนี้จะทำให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจำนวนมากตอบสนองผิด เนื่องจากแทนที่จะนำรถยนต์ของตนไปเปลี่ยนจากระบบเบนซินมาใช้เอ็นจีวีตามนโยบายของรัฐบาล แต่กลับเปลี่ยนมาติดตั้งใช้แอลพีจี เพราะเห็นว่าราคาก๊าซแอลพีจีต่ำกว่าน้ำมันเบนซินหลายบาท และค่าติดตั้งระบบแอลพีจียังต่ำกว่ามาก (เฉลี่ย 5,500-12,000 บาท) เมื่อเทียบกับค่าติดตั้งเอ็นจีวี (เฉลี่ย 45,000-60,000 บาท) ยิ่งทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ติดระบบก๊าซแอลพีจีกันมากขึ้น

ผมมั่นใจว่า เมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุดและหากพรรคไทยรักไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก ราคาค่าก๊าซแอลพีจีจะลอยตัวค่อนข้างแน่นอน และราคาก๊าซแอลพีจีจะสูงขึ้นจนใกล้เคียงกับราคาน้ำมันเบนซิน เมื่อถึงเวลานั้นกลุ่มรถแท็กซี่จะออกมาเรียกร้องขอปรับค่าโดยสาร เพราะทนแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ไหว และผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกรอบเพื่อเปลี่ยนจากระบบแอลพีจีมาเป็นเอ็นจีวี

ผมไม่เห็นด้วยกับการเอาใจประชาชนด้วยนโยบายทางการเมืองที่หวังผลในระยะสั้น ๆ แต่ไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว ผมอยากให้รัฐบาลมีความจริงใจกับประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่ 

  


-------------------------------