เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
จากกรณีที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ประกาศเลื่อนระยะเวลาลอยตัวราคาก๊าซแอลพีจีที่ใช้ในภาคขนส่งและที่ใช้ในการหุงต้มออกไปจนถึงสิ้นปี
โดยอ้างว่าให้เวลากับภาคขนส่งเปลี่ยนมาใช้เอ็นจีวีให้ครบ
60,000
คันก่อน
แถมยังยืนยันไม่เกี่ยวกับการเมือง
แต่ต้องการดูแลประชาชนไม่ให้กระทบ
ผมวิเคราะห์ว่า
เหตุผลที่กระทรวงพลังงานเลื่อนการลอยตัวราคาก๊าซดังกล่าวออกไป
แท้จริงแล้วรัฐบาลไม่ได้เป็นห่วงประชาชนตามข้อกล่าวอ้าง
แต่น่าจะเป็นเหตุผลทางการเมือง
เพราะรัฐบาลน่าจะเป็นห่วงคะแนนนิยมของตนมากกว่า
ประมาณต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
รัฐบาลประกาศจะลอยตัวราคาก๊าซที่ใช้ในรถยนต์และก๊าซหุ้งต้มในครัวเรือน
ซึ่งเหตุผลในเวลานั้นของรัฐบาลคือหากลอยตัวเฉพาะแอลพีจีสำหรับรถยนต์อาจเกิดการลักลอบนำแอลพีจีสำหรับการหุงต้มที่เป็นก๊าซชนิดเดียวกันไปใช้รถยนต์
ซึ่งอาจเกิดอันตราย
ผมจึงเขียน
e-letter
เรื่อง
ลอยตัวค่าก๊าซ
:
มาตรการซ้ำเติมค่าครองชีพ
(Floating
natural
gas
prices:
Effects
on
standard
of
living)
โดยแสดงความเป็นห่วงว่า
มาตรการนี้จะกระทบค่าครองชีพของครัวเรือน
โดยที่ประชาชนไม่มีพลังงานทางเลือกอื่น
ตรงข้ามกับการลอยตัวราคาก๊าซในระบบขนส่ง
เพราะผู้ใช้ก๊าซแอลพีจีส่วนใหญ่เป็นรถแท็กซี่และผู้โดยสารรถแท็กซี่เป็นกลุ่มคนที่ค่อนข้างมีฐานะ
และยังมีทางเลือกโดยสารได้หลายวิธี
การเลื่อนการลอยตัวค่าก๊าซแอลพีจีในภาคครัวเรือนออกไปนั้น
ผมเห็นว่ามีความเหมาะสม
แม้รัฐจะต้องเข้าไปชดเชยราคาก๊าซหุงต้ม
แต่เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากค่าครองชีพที่สูงอยู่แล้ว
แต่การเลื่อนการลอยตัวราคาก๊าซในภาคขนส่งอาจไม่เหมาะสม
เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าราคาก๊าซแอลพีจีมีราคาถูกกว่าเบนซิน
ทั้งที่ในความเป็นจริงราคาก๊าซในปัจจุบันบิดเบือนกลไกตลาด
เพราะรัฐบาลต้องใช้เงินจากกองทุนน้ำมันเข้าช่วยพยุงราคาเอาไว้ประมาณกิโลกรัมละ
6
บาท
ผลจากความเข้าใจผิดนี้
จะทำให้ผู้ใช้ก๊าซในภาคขนส่งไม่มีการปรับตัวให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง
เช่นเดียวกับกรณีก่อนการเลือกตั้งเมื่อต้นปี
2548
ที่รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงราคาน้ำมัน
ทำให้ราคาน้ำมันต่ำกว่าความเป็นจริง
ประชาชนจึงตอบสนองด้วยการไม่คิดที่จะประหยัดพลังงาน
มีการออกรถใหม่เป็นจำนวนมาก
และต้องนำเข้าน้ำมันเป็นจำนวนมาก
จนทำให้ไทยประสบกับภาวะขาดดุลการค้า
ผมคาดว่า
ผลของการขยายระยะเวลาลอยตัวราค่าก๊าซแอลพีจีในภาคขนส่งออกไปอีก
6 เดือน จะเป็นอุปสรรคที่ทำให้ภาคขนส่งโดยเฉพาะกิจการรถแท๊กซี่ไม่หันมาใช้ระบบเอ็นจีวี
เนื่องจากผู้ประกอบการจะไม่มีแรงกระตุ้น โดยคิดว่ายังไม่ถึงเวลาและไม่จำเป็นต้องเร่งรีบเปลี่ยนระบบเชื้อเพลิง
แต่จะฉวยโอกาสทำกำไรระยะสั้นในช่วงผ่อนผันนี้
ดีกว่าจะรีบเสียเงินค่าติดตั้งเอ็นจีวีซึ่งมีต้นทุนที่สูงก่อนเวลา
มาตรการนี้จะทำให้ผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจำนวนมากตอบสนองผิด
เนื่องจากแทนที่จะนำรถยนต์ของตนไปเปลี่ยนจากระบบเบนซินมาใช้เอ็นจีวีตามนโยบายของรัฐบาล
แต่กลับเปลี่ยนมาติดตั้งใช้แอลพีจี
เพราะเห็นว่าราคาก๊าซแอลพีจีต่ำกว่าน้ำมันเบนซินหลายบาท
และค่าติดตั้งระบบแอลพีจียังต่ำกว่ามาก
(เฉลี่ย
5,500-12,000
บาท)
เมื่อเทียบกับค่าติดตั้งเอ็นจีวี
(เฉลี่ย
45,000-60,000
บาท)
ยิ่งทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้ติดระบบก๊าซแอลพีจีกันมากขึ้น
ผมมั่นใจว่า
เมื่อการเลือกตั้งสิ้นสุดและหากพรรคไทยรักไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลอีก
ราคาค่าก๊าซแอลพีจีจะลอยตัวค่อนข้างแน่นอน
และราคาก๊าซแอลพีจีจะสูงขึ้นจนใกล้เคียงกับราคาน้ำมันเบนซิน
เมื่อถึงเวลานั้นกลุ่มรถแท็กซี่จะออกมาเรียกร้องขอปรับค่าโดยสาร
เพราะทนแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้นไม่ไหว
และผู้ใช้รถยนต์ส่วนบุคคลจะต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกรอบเพื่อเปลี่ยนจากระบบแอลพีจีมาเป็นเอ็นจีวี
ผมไม่เห็นด้วยกับการเอาใจประชาชนด้วยนโยบายทางการเมืองที่หวังผลในระยะสั้น
ๆ
แต่ไม่คำนึงถึงผลกระทบในระยะยาว
ผมอยากให้รัฐบาลมีความจริงใจกับประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่
|