จะดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงต่างประเทศอย่างไร
การแข่งขันในการดึงดูดการลงทุนของประเทศต่าง ๆ ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นเป็นลำดับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังจากประเทศจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ภาพรวมการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) อย่างไรก็ตาม การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่ไหลเข้ามาประเทศไทยกำลังอยู่ในภาวะถดถอย โดยในปี 2544 ประเทศไทยมีสัดส่วนเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศไหลเข้า (FDI inflow) ต่อการลงทุนภายในประเทศ (gross fixed capital formation) อยู่ที่ร้อยละ 14.4 หลังจากนั้นได้ลดลงเหลือร้อยละ 3.7, 5.4, 3.4 และ 7.2 ในปี 2545 ถึง 2548 ตามลำดับ สถานภาพของ FDI ของไทยในเวลานี้บ่งบอกถึงความสามารถในการแข่งขัน เพื่อดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของไทย กำลังเสื่อมถอยลงไหลเข้าสู่เอเชียมากกว่าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคอื่น โดยเม็ดเงินลงทุนไหลเข้าสู่ประเทศจีนในสัดส่วนที่สูงกว่าประเทศกำลังพัฒนาอื่น ๆ
ถึงกระนั้น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ปรับยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของประเทศ โดยเปลี่ยนจากการดึงดูดการลงทุนด้วยมาตรการสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อการเปิดรับการลงทุนอย่างกว้างขวาง หันมามุ่งเน้นการลงทุนที่ส่งเสริมและบ่มเพาะบุคลากรที่มีศักยภาพเชี่ยวชาญเฉพาะ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาและถ่ายโอนทักษะบุคลากรระดับต่าง ๆ ส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาและการถ่ายทอดเทคโนโลยี ตลอดจนส่งเสริมการสร้างนวัตกรรม เพื่อดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ
คำถามจึงอยู่ที่ว่า ในภาวะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศอยู่ในภาวะชะลอตัว ประเทศไทยควรใช้ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนอย่างไร ระหว่างการลดข้อจำกัดด้านการลงทุนและให้สิทธิพิเศษ เพื่อเปิดกว้างให้นักลงทุนเข้าลงทุนอย่างไม่จำกัด หรือการตั้งข้อจำกัด โดยรับเฉพาะการลงทุนที่ต้องการเท่านั้น
หากพิจารณาความจำเป็นในระยะสั้น การตั้งข้อจำกัดด้านการลงทุนจะยิ่งซ้ำเติมภาวะการชะลอตัวของการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ เพราะสถานะปัจจุบัน ประเทศไทยยังไม่มีข้อได้เปรียบสำหรับการดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ การตั้งเงื่อนไขว่านักลงทุนจะต้องถ่ายทอดเทคโนโลยีหรือตั้งฐานการทำวิจัยและพัฒนาในประเทศไทย อาจไม่สามารถจูงใจให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้
อย่างไรก็ดี การดึงดูดการลงทุนที่มีคุณภาพ ประเทศไทยต้องสามารถให้ผลตอบแทนที่จูงใจมากพอ เพื่อที่จะทำให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนโดยยอมถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ธุรกิจไทยหรือคนไทย ซึ่งผลตอบแทนดังกล่าวไม่อาจเกิดขึ้นได้จากมาตรการลดแลกแจกแถมเท่านั้น แต่ต้องเกิดจากความพร้อมโครงสร้างเศรษฐกิจ คุณภาพของปัจจัยการผลิต และสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ที่เอื้อต่อการลงทุนที่มีคุณภาพ
การเพิ่มแรงจูงใจให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนทำวิจัยและถ่ายทอดเทคโนโลยีในประเทศไทย จำเป็นต้องมีการพัฒนาสภาพตลาดและการแข่งขัน ด้วยการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่ภาคเศรษฐกิจเป้าหมาย และเร่งเปิดเสรีกับประเทศเพื่อนบ้านเพื่อทำให้ตลาดมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งจะทำให้ผลตอบแทนในการลงทุนทำวิจัยและพัฒนาสูงขึ้น รวมทั้งปรับปรุงกฎหมายและการบังคับใช้ เพื่อให้สิทธิของนักลงทุนและสิทธิทางทรัพย์สินทางปัญญาได้รับการคุ้มครอง