เพิ่มทุนทหารไทย: อุ้มไม่เลิก เอาเปรียบคนจน
เรียนมิตรสหายที่เคารพรัก
กรณีคณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังเพิ่มทุนในธนาคารทหารไทย โดยขายหุ้นองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) ให้ธนาคารออมสิน สะท้อนพฤติกรรมซ้ำซากในการอุ้มพวกพ้องไม่เลิก แต่ครั้งนี้รัฐบาลยังเอาเปรียบคนจนอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ถมเงินเข้ามาแก้ปัญหาธนาคารนี้จำนวนมากแล้ว และดูเหมือนว่ายังแก้ปัญหาไม่ได้ สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการดำเนินงานที่อาจเอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่ม จึงทำให้ภาระการขาดทุนตกอยู่กับธนาคารเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการรับซื้อทรัพย์สินในราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง การตัดหนี้สูญ (hair cut) หลายพันล้านให้กับลูกหนี้รายใหญ่ที่เป็นธุรกิจเครือญาติของคนในรัฐบาล หรือการเอาคนใกล้ชิดหรือญาติพี่น้องเข้าไปมีตำแหน่งในธนาคาร ทำให้ไม่ได้รับความเชื่อมั่นในแง่การบริหารงาน
สำหรับในครั้งนี้ กระทรวงการคลังขายหุ้น อสมท.ให้ธนาคารออมสิน แล้วนำเงินที่ได้จำนวน 3,015 ล้านบาทไปซื้อหุ้นบุริมสิทธิเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารทหารไทย โดยมีสัญญาว่ากระทรวงการคลังจะซื้อหุ้นคืนในเวลา 3 ปี หรือพูดให้เข้าใจง่าย คือ การที่ธนาคารออมสินปล่อยกู้ให้ธนาคารทหารไทย โดยที่กระทรวงการคลังนำหุ้น อสมท.มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน พฤติกรรมเช่นนี้ นับเป็นการแย่งเงินออมที่ธนาคารออมสินควรจะใช้ในการปล่อยกู้ให้คนยากจน เพื่อเอาไปอุ้มกิจการธนาคารทหารไทย ซึ่งถึงแม้ว่ากระทรวงการคลังจะถือหุ้นในธนาคารทหารไทยถึงร้อยละ 31.2 แต่ต้องไม่ลืมว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกร้อยละ 30.8 เป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ที่เหลือเป็นนักลงทุนไทยและต่างชาติ ที่ถือได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกิน (ตารางที่ 1)
การตัดสินใจดึงเงินจากธนาคารออมสินไปอุ้มธนาคารทหารไทย สะท้อนให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลให้ความสำคัญกับคนยากจนจริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าธนาคารออมสินจะได้อัตราผลตอบแทนของการกู้มากกว่าร้อยละ 9.99 ต่อปี (ตารางที่ 2) แต่การที่เงินจำนวนถึง 3,015 ล้านบาทถูกกู้ออกไปจากธนาคารออมสินเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี จะทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดโอกาสในการได้รับเงินกู้ ทั้งนี้หากสมมติว่าธนาคารออมสินนำไปปล่อยกู้ให้กับประชาชนคนละ 3 หมื่นบาท จะสามารถให้เงินกู้แก่ประชาชนได้ถึง 1 แสนคนทีเดียว
นอกจากนี้ การดำเนินการดังกล่าวยังทำให้คนยากจนเสียเปรียบในแง่ของต้นทุนการกู้เงิน ทั้งนี้หากรัฐบาลนำเงิน 3,015 ล้านบาทของธนาคารออมสินไปปล่อยกู้ในโครงการธนาคารประชาชน คนจนต้องเสียต้นทุนในการกู้เงินร้อยละ 1 ต่อเดือน แต่หากนำเงินจำนวนเดียวกันนำไปซื้อหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารทหารไทยนั้น ธนาคารทหารไทยอาจจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลยก็เป็นได้
เหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะธนาคารทหารไทยมียอดขาดทุนสะสม ณ สิ้นปี 2548 ถึง 4.78 หมื่นล้านบาท และหากธนาคารมีกำไรสุทธิ 7.8 พันล้านบาทต่อปี เท่ากับกำไรสุทธิในปี 2548 ธนาคารจะต้องใช้เวลาถึง 6 ปี กว่าจะล้างยอดขาดทุนสะสมได้หมด หมายความว่า ธนาคารจะยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้เลยในตลอดช่วง 6 ปีข้างหน้า ผมจึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดรัฐบาลจึงไม่เลือกวิธีการอื่นที่ไม่ต้องไปรับความเสี่ยงแทนภาคเอกชนและไม่ส่งผลกระทบต่อคนจน
ตารางที่ 1 โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในธนาคารทหารไทย ณ วันที่ 7 เมษายน 2549
ลำดับ |
ชื่อ |
จำนวนหุ้น |
ร้อยละ |
1 |
กระทรวงการคลัง |
4,772,574,627 |
1.2 |
2 |
DBS Bank A/C 003 |
2,460,078,607 |
6.1 |
3 |
กลุ่มกองทัพ * |
721,454,430 |
4.7 |
4 |
บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด |
656,180,947 |
4.3 |
5 |
N.C.B. Trust Limited - UBS AG London BR-IPB Client AC |
578,630,668 |
3.8 |
6 |
NORBAX INC., 18 |
527,198,600 |
3.4 |
7 |
Chase Nominees Limited 1 |
443,648,200 |
2.9 |
8 |
Little Down Nominees Limited 5 |
441,372,600 |
2.9 |
9 |
บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด |
294,660,033 |
1.9 |
10 |
State Street Bank and Trust Company |
210,814,877 |
1.7 |
* ประกอบด้วย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และ บริษัท อาร์ทีเอ เอ็นเตอร์เทนเมนท์ จำกัด (มหาชน)
ตารางที่ 2 อัตราผลตอบแทนที่ธนาคารออมสินจะได้รับ
|
ร้อยละต่อปี |
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนของธนาคารออมสิน |
5 |
ค่าบริหารจัดการ |
1.66 |
อัตราเงินปันผลของหุ้น อสมท. |
3.33 |
รวม |
9.99 * |
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดี (MLR) |
7.5** |
หมายเหตุ: * อัตราผลตอบแทนนี้ยังไม่รวมกำไรจากส่วนต่างของราคาหุ้น หากในอนาคต ธนาคารออมสินขายหุ้น อสมท. คืนให้กระทรวงการคลังในราคาตลาด
** เป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกหนี้ชั้นดีของธนาคารกรุงเทพ
กรณีคณะรัฐมนตรีมีมติให้กระทรวงการคลังเพิ่มทุนในธนาคารทหารไทย โดยขายหุ้นองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย (อสมท.) ให้ธนาคารออมสิน สะท้อนพฤติกรรมซ้ำซากในการอุ้มพวกพ้องไม่เลิก แต่ครั้งนี้รัฐบาลยังเอาเปรียบคนจนอีกด้วย
ก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้ถมเงินเข้ามาแก้ปัญหาธนาคารนี้จำนวนมากแล้ว และดูเหมือนว่ายังแก้ปัญหาไม่ได้ สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะการดำเนินงานที่อาจเอื้อประโยชน์ต่อคนบางกลุ่ม จึงทำให้ภาระการขาดทุนตกอยู่กับธนาคารเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการรับซื้อทรัพย์สินในราคาที่สูงกว่ามูลค่าที่แท้จริง การตัดหนี้สูญ (hair cut) หลายพันล้านให้กับลูกหนี้รายใหญ่ที่เป็นธุรกิจเครือญาติของคนในรัฐบาล หรือการเอาคนใกล้ชิดหรือญาติพี่น้องเข้าไปมีตำแหน่งในธนาคาร ทำให้ไม่ได้รับความเชื่อมั่นในแง่การบริหารงาน
สำหรับในครั้งนี้ กระทรวงการคลังขายหุ้น อสมท.ให้ธนาคารออมสิน แล้วนำเงินที่ได้จำนวน 3,015 ล้านบาทไปซื้อหุ้นบุริมสิทธิเพื่อเพิ่มทุนให้ธนาคารทหารไทย โดยมีสัญญาว่ากระทรวงการคลังจะซื้อหุ้นคืนในเวลา 3 ปี หรือพูดให้เข้าใจง่าย คือ การที่ธนาคารออมสินปล่อยกู้ให้ธนาคารทหารไทย โดยที่กระทรวงการคลังนำหุ้น อสมท.มาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน พฤติกรรมเช่นนี้ นับเป็นการแย่งเงินออมที่ธนาคารออมสินควรจะใช้ในการปล่อยกู้ให้คนยากจน เพื่อเอาไปอุ้มกิจการธนาคารทหารไทย ซึ่งถึงแม้ว่ากระทรวงการคลังจะถือหุ้นในธนาคารทหารไทยถึงร้อยละ 31.2 แต่ต้องไม่ลืมว่า ผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกร้อยละ 30.8 เป็นนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ ที่เหลือเป็นนักลงทุนไทยและต่างชาติ ที่ถือได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกิน (ตารางที่ 1)
การตัดสินใจดึงเงินจากธนาคารออมสินไปอุ้มธนาคารทหารไทย สะท้อนให้เห็นว่า แท้ที่จริงแล้วรัฐบาลให้ความสำคัญกับคนยากจนจริงหรือไม่ ถึงแม้ว่าธนาคารออมสินจะได้อัตราผลตอบแทนของการกู้มากกว่าร้อยละ 9.99 ต่อปี (ตารางที่ 2) แต่การที่เงินจำนวนถึง 3,015 ล้านบาทถูกกู้ออกไปจากธนาคารออมสินเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี จะทำให้ประชาชนจำนวนมากขาดโอกาสในการได้รับเงินกู้ ทั้งนี้หากสมมติว่าธนาคารออมสินนำไปปล่อยกู้ให้กับประชาชนคนละ 3 หมื่นบาท จะสามารถให้เงินกู้แก่ประชาชนได้ถึง 1 แสนคนทีเดียว
นอกจากนี้ การดำเนินการดังกล่าวยังทำให้คนยากจนเสียเปรียบในแง่ของต้นทุนการกู้เงิน ทั้งนี้หากรัฐบาลนำเงิน 3,015 ล้านบาทของธนาคารออมสินไปปล่อยกู้ในโครงการธนาคารประชาชน คนจนต้องเสียต้นทุนในการกู้เงินร้อยละ 1 ต่อเดือน แต่หากนำเงินจำนวนเดียวกันนำไปซื้อหุ้นบุริมสิทธิของธนาคารทหารไทยนั้น ธนาคารทหารไทยอาจจะไม่ต้องเสียดอกเบี้ยเลยก็เป็นได้
เหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะธนาคารทหารไทยมียอดขาดทุนสะสม ณ สิ้นปี 2548 ถึง 4.78 หมื่นล้านบาท และหากธนาคารมีกำไรสุทธิ 7.8 พันล้านบาทต่อปี เท่ากับกำไรสุทธิในปี 2548 ธนาคารจะต้องใช้เวลาถึง 6 ปี กว่าจะล้างยอดขาดทุนสะสมได้หมด หมายความว่า ธนาคารจะยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นได้เลยในตลอดช่วง 6 ปีข้างหน้า ผมจึงไม่เข้าใจว่า เหตุใดรัฐบาลจึงไม่เลือกวิธีการอื่นที่ไม่ต้องไปรับความเสี่ยงแทนภาคเอกชนและไม่ส่งผลกระทบต่อคนจน
ตารางที่ 1 โครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในธนาคารทหารไทย ณ วันที่ 7 เมษายน 2549